รีเซต

กรมสุขภาพจิตเปิด Vaccinated Together แนะผู้ปกครองชวนลูกรับวัคซีนโควิด

กรมสุขภาพจิตเปิด Vaccinated Together แนะผู้ปกครองชวนลูกรับวัคซีนโควิด
มติชน
7 กุมภาพันธ์ 2565 ( 16:34 )
71
กรมสุขภาพจิตเปิด Vaccinated Together แนะผู้ปกครองชวนลูกรับวัคซีนโควิด

ข่าววันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2565) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า กรมสุขภาพจิต ให้บริการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในกลุ่มเด็กบกพร่องพัฒนาการและสติปัญญา ช่วงอายุ 5-11 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยง 1 ใน 7 โรค โดยเริ่มให้บริการที่สถาบันราชานุกูล ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา มุ่งช่วยลดอัตราการติดเชื้อและการป่วยรุนแรงในเด็กกลุ่มเสี่ยง ทั้งยังช่วยให้เด็กและผู้ปกครองลดความกังวลในการทำกิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการและกิจกรรมเข้าสังคมต่างๆ ในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดได้

 

 

พญ.อัมพร กล่าวว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเด็กยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยเฉพาะเด็กที่จัดอยู่ในกลุ่มเปราะบาง ที่มีความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเกิดการติดเชื้อจะส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย มีปัญหาระยะยาวได้ ทั้งเรื่องระบบสมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ นอกจากนี้ เด็กจะเป็นผู้กระจายเชื้อหรือแพร่เชื้อให้กับคนในครอบครัว ซึ่งอาจจะเป็นผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูงได้มาก ดังนั้น ในกลุ่มเด็กเล็กเอง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรค โดยเฉพาะในเด็กพิเศษหมายถึง กลุ่มเด็กเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต กลุ่มเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า เด็กสมองพิการ เด็กออทิสติก เด็กกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีอัตราการติดเชื้อ และอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงกว่าคนทั่วไปถึง 9.3 เนื่องจากมีความสามารถในการดูแลตัวเองน้อยกว่าเด็กทั่วไป ปฏิบัติตัวในป้องกันตนเองจากเชื้อโรคได้ไม่ดีพอ เช่น การปฏิเสธการสวมหน้ากากอนามัย การไม่เว้นระยะห่างการใช้มือหยิบจับสิ่งของต่างๆ เข้าปาก และไม่ล้างมือ เป็นประจำ เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่สามารถสื่อสารบอกความผิดปกติของตนเองแก่ผู้อื่นได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ

 

“นอกจากนี้ ในเด็กพิเศษบางกลุ่ม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ ยังพบโรคทางกายร่วมได้บ่อย เช่น โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น เมื่อติดเชื้อโควิด-19 อาจจะกระทบต่อโรคทางกายที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้มีอาการรุนแรงและถึงขั้นเสียชีวิตได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเด็กกลุ่มนี้เจ็บป่วย ก็จะขาดโอกาสในการได้รับการฝึกกระตุ้นพัฒนาการ ส่งผลให้อาจจะมีพัฒนาการถดถอย และปัญหาพฤติกรรม-อารมณ์เพิ่มขึ้นได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอีกด้วย การให้เด็กพิเศษกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องเด็กจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และช่วยให้เด็กสามารถกลับมาใช้ชีวิต อย่างปกติได้อย่างปลอดภัย” พญ.อัมพร กล่าว

 

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การดำเนินการที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ที่มีสติปัญญาบกพร่อง ออทิสติก และสมาธิสั้น อายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นจำนวน 3,880 คน และ ในเด็กอายุ 12-17 ปี จำนวน 269 คน (เฉพาะกลุ่มเด็กพิเศษเข็ม 1) และไม่ยังไม่พบว่า มีผลข้างเคียงรุนแรงใดๆ โดยส่วนใหญ่พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กให้ความร่วมมือและต้องการให้บุตรหลานได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

 

 

“สำหรับในเด็กพิเศษอายุ 5-11 ปี กรมสุขภาพจิตได้เร่งดำเนินการเพื่อสื่อสารและสร้างช่องทางการเข้าถึงระบบริการวัคซีนสำหรับเด็กกลุ่มเปราะบางนี้ เพื่อให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึงและเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี แก่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูแลเด็กด้วยหลัก 4 ช. ได้แก่ 1.เชื่อมั่น คือการสร้างความมั่นใจแก่พ่อแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก ด้วยเจ้าหน้าที่มีความเชี่ยวชาญ บรรยากาศที่เป็นมิตร ผ่อนคลาย มีการให้ความรู้และกิจกรรมทั้ง ในระหว่างการรอฉีดวัคซีนและช่วงสังเกตอาการ ให้พ่อแม่หรือคนใกล้ชิดอยู่เป็นเพื่อนให้กำลังใจเด็กขณะฉีดวัคซีน ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เด็กและครอบครัว คลายความวิตกกังวล หวาดกลัว

 

2.เชิญชวน เผยแพร่ให้ข้อมูลเพื่อเชิญชวนเข้ารับบริการ 3.ช่องทาง สร้างช่องทางการเข้าถึงบริการของกลุ่มเป้าหมาย ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ผ่านการประสานความร่วมมือกับกลุ่มภาคีเครือข่ายด้านที่ดูเด็กและผู้พิการทั้งมูลนิธิ สมาคมผู้ปกครอง ชมรม และบ้านเด็กกำพร้า 4.ชื่นชม ให้บริการด้วยความเป็นกันเอง กล่าวชื่นชมแก่เด็กทั้งก่อนและหลังรับบริการ มีการนัดบริการเด็ก มาในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้เด็กเกิดความไว้วางใจ อบอุ่นใจที่ได้เห็นเพื่อนมาพร้อมเพรียงกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อการมารับวัคซีน ในครั้งต่อไปจะไม่เป็นปัญหาต่อพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูเด็ก หลังการฉีดวัคซีนแล้วเด็กจะเข้าใจได้ว่าการฉีดวัคซีนนั้นไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บ แต่ตรงกันข้าม กลับทำให้เขาเป็นฮีโร่ที่สามารถปกป้องและดูตนเองได้ทำในสิ่งที่ทุกคนทำได้ในเวลานี้ และจะไม่รู้สึกว่าการไปฉีดวัคซีนนั้นจะไม่เป็นการถูกบีบบังคับ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง