พิษเอลนีโญสภาพอากาศเปลี่ยนกระทบ ‘วาฬสีน้ำเงิน’ ส่งผลเสียระบบนิเวศ
![พิษเอลนีโญสภาพอากาศเปลี่ยนกระทบ ‘วาฬสีน้ำเงิน’ ส่งผลเสียระบบนิเวศ](https://cms.dmpcdn.com/contentowner/2021/03/24/c98687d0-8c88-11eb-b0ce-056bea7b0664_original.png)
![พิษเอลนีโญสภาพอากาศเปลี่ยนกระทบ ‘วาฬสีน้ำเงิน’ ส่งผลเสียระบบนิเวศ](https://cms.dmpcdn.com/news/2023/11/15/52e21810-8352-11ee-9c81-cb64ec5c2c2c_original.jpg)
วันนี้ ( 15 พ.ย. 66 ) คาเรน เอดีเวน นักชีววิทยาทางทะเล จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับวาฬสีน้ำเงินเล็ก สายพันธุ์ย่อยของวาฬสีน้ำเงิน ที่สามารถเติบโตจนยาวได้ถึง 24 เมตร ซึ่งอพยพผ่านชายฝั่งติมอร์ เลสเตช้าลงจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
ทุก ๆ ปี วาฬสีน้ำเงินเล็กมักอพยพไปทางใต้ เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร จากแหล่งเพาะพันธุ์นอกชายฝั่งอินโดนีเซีย ผ่านติมอร์ เลสเต ไปจนถึงน่านน้ำของออสเตรเลียในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน แต่น่ากังวลอย่างยิ่งหลังจากที่ไม่พบวาฬสักตัวในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมาในติมอร์ เลสเต
เอดีเวน ซึ่งเป็นอดีตนักวิทยาศาสตร์อาวุโสของรัฐบาล และสมาชิกคณะกรรมการพื้นที่อนุรักษ์ในระดับโลกขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ชี้ว่า การอพยพที่ล่าช้าเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อสมุทรศาสตร์ของภูมิภาคดังกล่าว และกระทบต่อระบบนิเวศ
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กำลังส่งผลกระทบต่อการอพยพของวาฬสีน้ำเงิน เลื่อนฤดูกาลอพยพออกไป 4-6 สัปดาห์ อีกทั้งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพวกมัน โดยสังเกตพบวาฬตัวที่ขาดสารอาหาร ขณะอพยพสู่ทางใต้ในปี 2022 ซึ่งเธอมองว่าอาจเป็นผลมาจากอุณหภูมิน้ำอุ่นในมหาสมุทร
สำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลีย ประกาศเฝ้าระวังปรากฏการณ์เอลนีโญในภูมิภาคแปซิฟิก ซึ่งภัยพิบัติดังกล่าวเชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งขึ้นในออสเตรเลีย แต่ในภาพรวมจะทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรทางตอนเหนือเย็นลง ซึ่งเอดีเวนกล่าวว่าน่าจะช่วยเพิ่มแหล่งอาหารให้แก่วาฬเหล่านี้
ภาพ: AFP