ผู้บริหารทรีนีตี้เชื่อ คลังไม่เก็บภาษีขายหุ้น ชี้ผลกระทบเยอะ นักลงทุนโอดซ้ำเติมรายย่อย
กรณีที่กระทรวงการคลังมีแผนจะจัดเก็บภาษีขายหุ้น หรือภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขาย อัตรา 0.1% ยืนยันว่าจะไม่กระทบกับนักลงทุนรายย่อยนั้น
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าว ว่า โดยส่วนตัวคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีการเก็บภาษี แต่ถ้าเก็บภาษีจริงนักลงทุนที่หมุนหุ้นบ่อย เกินจำนวนที่กำหนดไว้ 1 ล้านบาท หรือกลุ่มสถาบันรีเทล และกลุ่มนักเก็งกำไรจะมีต้นทุนในการลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การเก็งกำไรมีความน่าสนใจลดลง โดยส่วนการลงทุนแบบนี้จะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือตราสารที่มักเก็งกำไร จะมีปริมาณการซื้อขายลดลงไป มีผลกระทบให้รายได้ของโบรกเกอร์ลดลงตามไปด้วย อีกส่วนที่ได้รับผลกระทบคือกลุ่มการซื้อขายความถี่สูง (High Frequency Trading) หรือเอชเอฟที ที่อาจจะมีการซื้อขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็น 1 ใน 3
ของการลงทุนหุ้นทั้งหมด และสุดท้ายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบคือตลาดและบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ที่จะได้รับผลจากการซื้อขายที่ลดลงทำให้การออกผลิตภัณฑ์อาจจะได้รับกระแสตอบรับเชิงบวกน้อยลง
“ผลกระทบค่อนข้างเยอะ แต่ในส่วนผลเชิงบวกคงหนีไม่พ้นเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ ถ้าจะลดได้จริงต้องประเมินได้ว่าภาษีที่ได้จะต้องมาจากคนมีรายได้สูงทั้งหมด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น เพราะยังมีกลุ่มเก็งกำไรหมุนหุ้นเร็ว หรือเดย์ เทรด มีตั้งแต่นักลงทุนที่เป็นนักศึกษา ประชาชนทั่วไป” นายณัฐชาตกล่าว
นายณัฐชาตกล่าวว่า ในด้านผลกระทบของหุ้นนั้น กลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็กจะมีสีสันน้อยลง ขณะเดียวกันจะทำให้หุ้นขนาดใหญ่มีกระแสตอบรับดีกว่า หุ้นกลางขนาดกลางและเล็กที่อาจมีการซื้อขายลดลงเพราะสภาพคล่องไม่เพียงพอ หรือเพิ่มต้นทุน ทำให้ความคุ้มค่าของการซื้อขายและค่าคอมมิชชั่นน้อยลงไป
แหล่งข่าวจากนักลงทุนรายย่อย กล่าวถึงกรณีกระทรวงการคลังกำลังมีแผนเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ว่า เท่าที่ทราบรัฐบาลมีความพยายามจะเก็บภาษีหุ้นมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่สำเร็จ และล้มเลิกไปก่อนนี้ อดสงสัยไม่ได้ว่าการที่รัฐบาลปัดฝุ่นแนวคิดเดิมในช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องกู้เงินขนานใหญ่เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และโควิดยังไม่จบ ยังกลายพันธุ์อยู่ รัฐบาลอาจจำเป็นต้องตุนเงินเพิ่ม ขณะเดียวกันก็โดนกระแสข่าวว่ากำลังถังแตก จึงคาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีหุ้นเพื่อพยุงสถานะการเงินของรัฐหรือไม่
แหล่งข่าวกล่าวว่า ประเด็นจะเก็บภาษีหุ้นที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาทนั้น รัฐบาลระบุว่าจะไม่เดือดร้อนนักลงทุนรายย่อยนั้น ในฐานะเป็นนักลงทุนรายย่อยเหมือนกัน ไม่คิดเช่นนั้น เพราะหากเป็นการคิดภาษีจากมูลค่าฐานการลงทุนรวมกับส่วนต่างกำไรราคาหุ้น ไม่ใช่การคิดภาษีเฉพาะกำไรจากการขายหุ้นอย่างเดียว เท่ากับว่ามีการคิดภาษีส่วนต้นทุนหุ้นด้วย หากนักลงทุนซื้อหุ้นที่มีต้นทุนแพงมาก อาทิ ต้นทุนต่อหุ้นหลัก 100 บาท แต่มีส่วนต่างกำไรต่อหุ้นเพียงหลักสิบบาท ก็จะกำไรส่วนต่างราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่โดนหักภาษีอีก แทนที่ผู้ลงทุนจะได้กำไรการลงทุนหุ้น อาจจะขาดทุนจากที่โดนหักภาษีได้ จึงอยากให้รัฐบาลออกเกณฑ์ที่รอบคอบชัดเจนก่อนจะแจ้งให้ประชาชนรับทราบ ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความตื่นตระหนกได้
“การที่รัฐบาลมีแนวคิดช่วงที่ประชาชนกำลังลำบากจากโควิด-19 หลายคนกำลังมองหาการลงทุนที่ทำให้เงินงอกเงย เพราะการทำธุรกิจส่วนตัวหรือแม้แต่มนุษย์เงินเดือนต่างรู้สึกไม่มั่นคงทางการเงินทั้งสิ้น จะเห็นได้ว่าหลังเกิดโควิด เกิดนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงอายุหลากหลาย ตั้งแต่เด็กนักเรียน วัยเริ่มทำงาน วัยกำลังทำงาน และวัยใกล้เกษียณ เปิดบัญชีเล่นหุ้นเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ดังนั้นการที่รัฐบาลมีแนวคิดดังกล่าวอาจเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่พยายามหาทางช่วยตัวเองด้านการเงิน เพื่อไม่เป็นหนี้นอกระบบอยู่หรือไม่”แหล่งข่าวกล่าว