ทรีนีตี้ชี้อย่าตระหนกSVBเกิน
นายณัฐชาติ เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ ระบุถึง กรณี SVB หรือ Silicon Valley Bank ล้ม โดยระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในฝั่งสถาบันการเงินสหรัฐฯตอนนี้ เป็นปัญหาทางด้านสภาพคล่องเป็นหลัก ซึ่งมีที่มาจากการสะสมของปัจจัยกดดันต่างๆ ทั้งการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด, การถอดถอนสภาพคล่องของ Fed, ภาวะ Earning contraction และภาวะขาลงของสินทรัพย์ Digital และ cryptocurrency ส่งผลให้เมื่อบริษัทที่เผชิญปัญหาเหล่านี้ต้องการสภาพคล่องแบบทันทีทันใด ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาสภาพคล่องให้ก่อนหน้านี้จึงเตรียมการไม่ทัน และเมื่อต้องการเตรียมการ ก็เผชิญกับผลขาดทุนทางด้านราคาสินทรัพย์เข้าไปอีก จากการที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับในอดีต ส่งผลให้สถาบันการเงินเหล่านี้เผชิญกับวิกฤติสภาพคล่องแบบทันทีทันใด และทำให้ถูกสั่งปิดกิจการลงทันที
@ ตลาดไม่กังวลมากสหรัฐช่วยอุ้ม
มองผลกระทบที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาทางด้านสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นหลัก ซึ่งถึงแม้ปัญหาแรกอาจยังต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข ปัญหาที่สองดูเหมือนจะได้รับการเยียวยาในเชิงบวกบ้างแล้ว หลังจากที่ล่าสุดทางการสหรัฐฯได้ทำตัวเป็น The last resort ออกมาตรการ Backstop เพื่อจัดหาสภาพคล่องฉุกเฉิน (Funding program) ให้กับธนาคารที่ประสบปัญหา และการันตีเงินฝากของผู้ฝากเงินทั้งในส่วนที่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้รับความคุ้มครอง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ล่าสุดสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหลายตอบรับเชิงบวกขึ้นได้บ้าง
อีกทั้งนั้น จากการตรวจสอบสัญญาณต่างๆล่าสุดในตลาด พบว่าเครื่องชี้สภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินสหรัฐฯแม้ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ถือว่าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ว่าจะดูจากเครื่องชี้ LIBOR-OIS spread (รูปที่ 1), TED spread (รูปที่ 2), หรือ CDS ของธนาคารขนาดใหญ่ต่างๆในสหรัฐฯ (รูปที่ 3) ไม่ต้องพูดถึงสัญญาณสภาพคล่องในตลาดบ้านเราซึ่งก็ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติมากเช่นเดียวกัน มองผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับบ้านเราอาจจะมาผ่านช่องทาง Wealth effect ของนักลงทุนบางส่วนที่มี Exposure กับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินสหรัฐฯ ซึ่งบางกองทุนนั้นมีการลงทุนในหุ้น SVB อยู่ประปราย โดยภาพรวมผลกระทบส่วนนี้ในเชิงตัวเลขจึงไม่น่าจะมีนัยสำคัญมากนัก
@ อนาคตหุ้นจะสดใส
ทั้งนี้ มองปัญหาที่เกิดขึ้นล่าสุดอาจกลับกลายเป็นปัจจัยบวกทางอ้อมต่อมายังภาวะการลงทุนในตลาดทุนโลกช่วงต่อไป ผ่านช่องทางการปรับเปลี่ยนโหมดนโยบายการเงินและนโยบายการคลังของสหรัฐ โดยเฉพาะตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เอง ที่ล่าสุดเรามองว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นแล้วที่ Fed จะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียงแค่ 0.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ ซึ่งล่าสุดดูเหมือนว่าตลาดจะเชื่อแล้ว 100% เช่นกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง มองว่าจะกลายมาเป็น Positive knock-on effect ทำให้ปัจจัยปัญหาวิกฤติสภาพคล่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ผ่อนคลายลงต่อได้อีก