รีเซต

สินเชื่อแบงก์พาณิชย์ Q3/68 หดตัว -1.0% หดตัวต่อเนื่อง 5 ไตรมาส

สินเชื่อแบงก์พาณิชย์ Q3/68 หดตัว -1.0% หดตัวต่อเนื่อง 5 ไตรมาส
ทันหุ้น
18 พฤศจิกายน 2568 ( 17:38 )

สินเชื่อแบงก์พาณิชย์ Q3/68 หดตัว -1.0% หดตัวต่อเนื่อง 5 ไตรมาส  

#ทันหุ้น #SET #ธปท. นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่าภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2568 ว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยเงินกองทุน (BIS ratio) อยู่ที่ 21.3% จากไตรมาสก่อนที่ 21.0% เงินสำรอง (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 179.8% จากไตรมาสก่อนที่ 174.4% และสภาพคล่อง (Liquidity coverage ratio : LCR) อยู่ที่ 204% จากไตรมาสก่อนที่ 204.8%

ขณะที่สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวอยู่ที่ -1.0% ใกล้เคียงไตรมาสก่อน จากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตของ SMEs และครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อธุรกิจหดตัว -0.6% จากไตรมาสก่อนที่ -0.3% ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัว -1.7% จากไตรมาสก่อนที่ -2.1% ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อย อยู่ที่ 0.7% จากไตรมาสก่อนที่ 0.5%

ทั้งนี้ ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง ขณะที่การชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น ด้านคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3) โดยรวมค่อนข้างทรงตัวจาก New NPL ที่ชะลอลง ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์หดตัวต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส แต่อัตราการหดตัวไม่ลึกเท่ารอบวิกฤติการเงินโลก (GFC) ในปี 2552 ซึ่งสินเชื่อเคยหดตัวถึง -3% แต่ครั้งนั้นสามารถฟื้นตัวได้ภายใน 2 ไตรมาส ขณะที่รอบนี้อัตราการหดตัวไม่รุนแรง แต่มีความยืดเยื้อมากกว่า

สำหรับสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.94% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานสินเชื่อที่หดตัว ขณะที่สินเชื่อ Stage 2 ปรับเพิ่มขึ้นตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และบางส่วนมาจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน Stage 2 เพิ่มขึ้นเป็น 7.24% อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังคงให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง รวมถึงบริหารจัดการคุณภาพหนี้

ผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงจากปีก่อน เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามการหดตัวของสินเชื่อและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ทั้งจากการปรับลดโดยธนาคารเองและตามมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 1.52 แสนล้านบาท รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 7.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า

ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ช่วง 9 เดือน ปี 2568 สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สะสมของระบบสถาบันการเงินช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.–ก.ย.) ปี 2568 พบว่ามีลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือรวม 3.53 ล้านบัญชี แบ่งเป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ 1.99 ล้านบัญชี และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) 1.54 ล้านบัญชี รวมยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 2.06 ล้านล้านบาท

ความคืบหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีลูกหนี้ลงทะเบียนและมีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขรวม 9.4 แสนราย ครอบคลุมยอดหนี้รวม 6.2 แสนล้านบาท โดยมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ช่วยลูกหนี้สินเชื่อรถ 3.1 แสนราย สินเชื่อบ้าน 2.5 แสนราย และสินเชื่อ SME 1.7 แสนราย ขณะที่มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” มีลูกหนี้ปิดหนี้ได้แล้ว 1.6 แสนราย และมาตรการ “จ่าย ตัด ต้น” อีก 5.1 หมื่นราย

สถาบันการเงินอยู่ระหว่างทยอยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ ซึ่ง ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568 มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้วกว่า 6.2 แสนราย หรือ 66% ของลูกหนี้ทั้งหมด 9.4 แสนราย คิดเป็นยอดหนี้ 4.4 แสนล้านบาท หรือ 71% ของยอดหนี้รวม 6.2 แสนล้านบาท

ความช่วยเหลือภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีส่วนบรรเทาภาระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 86.8% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 87.1% โดยเป็นผลจากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลง

ด้านภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP อยู่ที่ 81.3% จากไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 81.6% สะท้อนการก่อหนี้ที่ลดลง ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรลดลงจากปีก่อนเกือบทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลจากภาวะตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว

เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นปัจจัยหลักต่อการฟื้นคุณภาพสินเชื่อ สำหรับผลต่อคุณภาพสินเชื่อและระดับ NPL จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นายสมชายกล่าวว่า การลดดอกเบี้ยช่วยได้บ้างในเชิงคุณภาพ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก โดยปัจจัยสำคัญที่สุดคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นมากกว่า ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงเป็นประโยชน์ในเชิงลดต้นทุนทางการเงินมากกว่า แบงก์ชาติติดตามการส่งผ่านของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าสถาบันการเงินลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มากน้อยเพียงใด โดยครั้งล่าสุดลดครบ 25 สตางค์เต็ม 100% และหากดูการลดดอกเบี้ยทั้ง 4 ครั้ง สถาบันการเงินส่งผ่านมากกว่าครึ่ง ซึ่งถือว่าดีกว่ารอบก่อน ๆ

สำหรับแนวโน้มสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 4 ปี 2568 ยังประเมินไม่ชัด เนื่องจากขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายโครงการ โดยเฉพาะ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้ในวงกว้าง แนวโน้มสินเชื่อในระยะต่อไปต้องรอประเมินผลของนโยบายรัฐว่าช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดีและทั่วถึงเพียงใด

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง