รีเซต

"คนไทย" หลอกง่าย ? โอนไว 3 นาทีเงินเข้าบัญชีโจร พบเหยื่อมีทุกวัย หลอกขายของเยอะสุด

"คนไทย" หลอกง่าย ? โอนไว 3 นาทีเงินเข้าบัญชีโจร พบเหยื่อมีทุกวัย หลอกขายของเยอะสุด
TNN ช่อง16
30 กันยายน 2568 ( 08:00 )
8

"การเงินดิจิทัล" ดาบสองคม ภัยการเงิน โอนไว = โจรรับไว


คนไทยโดนหลอกออนไลน์ 1 ล้านคดีใน 3 ความเสียหายเกือบแสนล้านบาท ที่สำคัญ คือ ส่วนใหญ่เหยื่อรู้ตัวช้า แต่การโอนเงิน ดูดเงินทำได้ไว จากยุคของดิจิทัล  ดังนั้นแบงชาติจึงย้ำว่าการอายัดบัญชี หรือระงับธุรกรรมของบัญชีม้า จึงสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง


โอนเงินไว มิจฉาชีพก็รับเงินไวเช่นกัน การเงินยุคดิจิทัล มาพร้อมกับภัยทางการเงินที่เราคนไทยทุกคนต้องเฝ้าระวัง ความเสี่ยงที่หนักขึ้น รุนแรงขึ้นทั่วโลก และคุกคามคนไทยเช่นกัน  3 ปีที่ผ่านมามีผู้เสียหายเข้าแจ้งความภัยทางการเงินออนไลน์แล้วมากกว่า 1 ล้านคดี มูลค่าความเสียหายสูงถึง 98,000 ล้านบาท และเงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ ทำให้การรับมือกับเรื่องนี้ต้องแข่งกับเวลา 


ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หรือแบงก์ชาติ เปิดเผยว่า แบงก์ชาติได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกภาคการเงิน เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง หวังแก้ปัญหาอย่างเข้มแข็ง เป็นระบบ และต่อเนื่อง   


ดร.เศรษฐพุฒิ ชี้ว่า สาเหตุหรือตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นไว และขยายหนักเป็นวงกว้างมากขึ้นในยุคนี้ เป็นเพราะ "ระบบการเงินดิจิทัล" (digital finance) มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ภายในเวลาช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ระบบการชำระเงินดิจิทัล" ที่เรียกว่า "Fast payment" ช่วยทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ 


ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของประเทศไทย คือ "พร้อมเพย์" (PromptPay) มีคนไทยใช้งานกว่า 70% ใช้งานกว่า 76 ล้านรายการต่อวัน การโอนเงินเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าแสนล้านบาท


ซึ่งความจริงแล้วการเงินดิจิทัล เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์อย่างมาก ช่วยให้ทุกคน และทุกธุรกิจ เข้าถึงเศรษฐกิจดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้า หรือผู้ประกอบการรายเล็กๆ สามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่ตลาดออนไลน์ได้ง่ายๆ ผ่านการชำระเงินผ่านระบบ Fast payment หรือแม้กระทั่้งในภาคส่วนของแรงงานก็สามารถโอนเงินกลับบ้านได้ง่ายดาย 


แต่สิ่งที่มาพร้อมกันกับกลายเป็นปัญหาภัยการเงินที่หนักขึ้น และการแก้ปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เช่น กรณีล่าสุด การจัดการบัญชีม้าของแบงก์ชาติ ได้กลายเป็นดราม่าและทำให้เกิดความแตกตื่น มีประชาชนแห่กันไปถอนเงิน และแม่ค้าพ่อค้าหวาดระแวงในรับโอนเงิน เพราะมีคนถูกอายัดบัญชี และระงับบัญชีชั่วคราว  และมีบางส่วนที่เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการบัญชีม้า เป็นผู้บริสุทธิ์  แบงก์ชาติย้ำว่าความตั้งใจจริง ของการอายัดบัญชีและการระงับบัญชี คือ การช่วยกักเงินให้หยุดเดินต่อไปยังหัวหน้าขบวน และเอาเงินมาใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตามเส้นทางการเงิน ในการต่อเส้นเงินตาม (พ.ร.ก. ไซเบอร์) หรือ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 


ล่าสุด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แบงก์ชาติจึงได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้อง เร่งปรับกระบวนการ ทำให้การปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้น  เช่นปลดล็อกภายใน 3 ชั่วโมง ช้าสุดไม่เกิน 1 วัน  และกำลังปรับปรุงกลไกต่างๆ เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อผู้สุจริต ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนกันยายน เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ร้านค้า และประชาชนในการโอนเงินใช้จ่ายเงินภายใต้ระบบชำระเงินดิจิทัล


"ภัยการเงิน" ยุคใหม่ หลอกให้โอนเองด้วย "ความเต็มใจ"


ข้อมูลพบว่าการหลอกลวงส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่การเจาะระบบหรือแอปพลิเคชันดูดเงินเหมือนในอดีต แต่กลับกลายเป็นการที่เหยื่อ “โอนเงินด้วยตัวเอง” โดยเฉพาะการหลอกซื้อของออนไลน์และการหลอกให้ลงทุน ผ่านโซเชียลมีเดีย


งานวิจัยล่าสุดจาก ดร.ฐิติ ทศบวร หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) และ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ถูกนำเสนอในงานเสวนาของธนาคารแห่งประเทศไทย BOT Symposium 2025  "เท่าทันภัยการเงิน" ตอกย้ำว่าวันนี้“มิจฉาชีพออนไลน์” ได้กลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสังคมไทย


ข้อมูลพบว่าการหลอกลวงส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่การเจาะระบบหรือแอปพลิเคชันดูดเงินเหมือนในอดีต แต่กลับกลายเป็นการที่เหยื่อ “โอนเงินด้วยตัวเอง” โดยเฉพาะการหลอกซื้อของออนไลน์ที่มีจำนวนคดีมากที่สุด และการหลอกลงทุนที่ทำให้เกิดความเสียหายสูงสุด 


นอกจากนี้ยังมีการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 7,000 คน พบว่ามีถึง 73% ที่ถูกมิจฉาชีพเข้าถึง และเกือบครึ่งหนึ่งกลายเป็นผู้เสียหายจริง ๆ  แต่ละเจเนอเรชันก็มีรูปแบบการถูกหลอกต่างกัน กลุ่ม Gen Boomer และ Gen X มักถูก Call Center หรือการหลอกลงทุน ขณะที่ Gen Y และ Gen Z กลับตกเป็นเหยื่อจากการหลอกซื้อของออนไลน์และการหางานปลอม การหลอกซื้อของมีอัตราความสำเร็จสูงที่สุดถึง 80% ของผู้ที่ถูกเข้าถึง ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อการค้าบนโลกดิจิทัล


ความเสียหายของเหยื่อในปัจจุบันนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 60,000 บาทต่อราย แต่ยังมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างหนักที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วย  นอกจากนี้แม้วันนี้เราจะได้เห็นว่ามีคดีมากมาย แต่มีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่กล้าเข้าแจ้งความ ขณะที่อีก 10% เลือกแจ้งเฉพาะธนาคาร และถึง 80% ไม่ทำอะไรเลย ปรากฏการณ์ “ภูเขาน้ำแข็ง” นี้ทำให้ข้อมูลที่เห็นเป็นเพียงยอดเล็ก ๆ ของความเสียหายที่แท้จริง เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่แจ้งความคือการรู้สึกอับอาย ไม่อยากถูกตราหน้าว่าโง่หรือไม่รู้เท่าทัน ทั้งที่ในความเป็นจริง ใครก็ตกเป็นเหยื่อได้ทั้งนั้น


โซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่หลักในการหลอกลวง โดยเฉพาะFacebook ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในสำนวนแจ้งความถึง 65% ส่วนการหลอกลงทุนที่มักอาศัยมีการใช้หลายแพลตฟอร์มพร้อมกันเกินกว่า 50% ของกรณีทั้งหมด


สำหรับปัญหาใหญ่ที่สำคัญ คือ ความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรม ข้อมูลจากงานวิจัยเผยว่าหลังผู้เสียหายทำธุรกรรมครั้งสุดท้าย ต้องใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าข้อมูลจะเข้าสู่ระบบแจ้งความ ขณะที่บัญชีม้าแถวแรกโอนเงินต่อไปใช้เวลาเพียง 2 นาที ทำให้การอายัดเงินแทบเป็นไปไม่ได้ ด้านตำรวจเองก็ต้องรับภาระคดีฉ้อโกงออนไลน์เฉลี่ยวันละ 1,100 คดี มากกว่าคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทั่วไปถึง 5 เท่า


แม้รัฐบาลจะออกมาตรการ เช่น พ.ร.ก. ไซเบอร์ ที่บังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินแชร์ข้อมูลร่วมกันผ่านระบบ Central Fraud Registry (CFR) จนทำให้ระยะเวลาในการใช้บัญชีม้าลดลงจาก 3 วันเหลือเพียงสิบกว่าชั่วโมง แต่ก็ช่วยลดความเสียหายได้เพียงแค่ครึ่งเดียว  


สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ อาชญากรรมไซเบอร์ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็น “อุตสาหกรรม” ที่มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ผู้หาลูกค้า บัญชีม้า คนโอนเงิน จนถึงเครือข่ายข้ามชาติที่ถอนผลประโยชน์ออกไป ความคุ้มค่าในการทำอาชญากรรมสูงมาก ขณะที่ต้นทุนต่ำและโอกาสถูกจับต่ำ ทำให้วงจรนี้ไม่มีทีท่าจะสิ้นสุด


แนวทางการแก้ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในมือรัฐหรือธนาคาร แต่ยังขึ้นอยู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวผู้บริโภคเองด้วย ต้องมีความตื่นตัว รู้เท่าทัน ไม่ประมาท และการติดตามข่าวสาร เป็นเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุด ขณะที่สังคมต้องลดการซ้ำเติมเหยื่อ เพราะการดูถูกไม่เพียงแต่ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความ แต่ยังเปิดช่องให้มิจฉาชีพกล้าผิดต่อได้อย่างต่อเนื่อง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง