รีเซต

ทำไม 'เลือกตั้ง อบจ. 2568' ถึงร้อนแรงกว่าทุกครั้ง

ทำไม 'เลือกตั้ง อบจ. 2568' ถึงร้อนแรงกว่าทุกครั้ง
TNN ช่อง16
23 ธันวาคม 2567 ( 12:26 )
33



วันแรกของการรับสมัครเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภา อบจ. (23 ธ.ค. 2567) ใน 47 จังหวัด เริ่มต้นอย่างคึกคักกว่าทุกครั้ง เพราะพรรคการเมืองระดับชาติต่างยกทัพลงพื้นที่อย่างจริงจัง หวังขยายฐานอำนาจสู่การเมืองท้องถิ่น


พรรคเพื่อไทยลงทุนลงแรงมากเป็นพิเศษ โดยส่งผู้สมัครลงชิงชัย 6 จังหวัดสำคัญ ที่น่าสนใจสุดคือ "โคราช" ที่ส่ง "มาดามหน่อย" ยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ. กลับมาลงชิงตำแหน่งเดิม พร้อมส่งทัพใหญ่มาช่วยหาเสียง ทั้ง "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" รองนายกฯ และ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ 


ส่วนที่มุกดาหารส่ง "บุญฐิน ประทุมลี" อดีต ส.ส. ที่หนองคายใช้ "วุฒิไกร ช่างเหล็ก" หรือ "เสี่ยแอร์" อดีตรองนายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยว ลงสนาม


ทางด้านพรรคประชาชนก็ไม่น้อยหน้า เปิดตัวแนวรบภาคใต้ ด้วยการส่งผู้สมัครลงสนามสำคัญ ที่สงขลาใช้ "นิรันดร์ จินดานาค" นำทีมหาเสียงแบบออนไลน์ ส่วนที่ภูเก็ตส่ง "หมอเลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล" อดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ปะทะกับแชมป์เก่าอย่าง "เรวัต อารีรอบ" อดีตนายก อบจ. และอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่มากับทีม "หยัดได้" โดยชาวภูเก็ตต่างรอดูว่าใครจะแก้ปัญหาจราจรและสาธารณสุขได้ดีกว่ากัน


สนามที่ร้อนแรงที่สุดต้องยกให้ "ปราจีนบุรี" ที่แม้จะมีเหตุยิง "สจ.โต้ง" มาก่อน แต่กลับมีผู้กล้าลงสมัครถึง 4 คน ที่น่าสนใจคือ "สจ.จอย" ณภาภัช ภรรยาของ สจ.โต้ง ที่ลงในนามพรรคเพื่อไทย เป็นการท้าชิงกับอำนาจตระกูล "โกทร" ของ "สุนทร วิลาวัลย์" ที่ครองเมืองมาหลายสมัย ขณะที่ผู้สมัครอย่าง "จำรูญ สวยดี" จากพรรคประชาชน ยืนยันไม่กลัวอิทธิพล พร้อมเดินหน้านโยบายสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต


ที่สงขลา การแข่งขันก็ไม่แพ้กัน เมื่อ "สุพิศ พิทักษ์ธรรม" จากทีมสงขลาพลังใหม่ ได้แรงหนุนจาก "บ้านใหญ่" อย่าง "นิพนธ์ บุญญามณี" และ "เดชอิศ ขาวทอง" ขณะที่ "อภิญญา ยอดแก้ว" ผู้สมัครหญิงคนเดียว จากเครือข่ายภาคประชาชน กลับมาลงสมัครอีกครั้งหลังเคยลงในปี 2563 แสดงให้เห็นว่าการเมืองท้องถิ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักการเมืองอาชีพอีกต่อไป


น่าสนใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีอะไรแตกต่างจากครั้งก่อน? 


ประการแรก พรรคการเมืองระดับชาติส่งทั้งคนและทรัพยากรลงพื้นที่อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทยที่ส่งแกนนำพรรคระดับประเทศมาช่วยหาเสียง หรือพรรคประชาชนที่ใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ ในการเข้าถึงประชาชน


ประการที่สอง เห็นการท้าทายอำนาจ "บ้านใหญ่" ในหลายพื้นที่ ทั้งจากพรรคการเมืองใหญ่และผู้สมัครหน้าใหม่ที่กล้าลงชิงแม้ในพื้นที่เสี่ยง อย่างกรณีปราจีนบุรีที่มีคนกล้าท้าชิงกับตระกูลที่ครองอำนาจมานาน


ประการที่สาม การเมืองระดับชาติและท้องถิ่นกำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว สังเกตได้จากการที่พรรคการเมืองใหญ่พยายามขยายฐานอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ขณะที่นักการเมืองท้องถิ่นก็พยายามสร้างเครือข่ายกับพรรคการเมืองระดับชาติ


คำถามสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนจริงหรือไม่? การที่พรรคการเมืองระดับชาติเข้ามามีบทบาทในท้องถิ่นจะช่วยยกระดับการบริหารงานหรือกลายเป็นการรวมศูนย์อำนาจ? และสุดท้าย ประชาชนจะได้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้?


คำตอบทั้งหมดคงต้องรอดูผลการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าประชาชนต้องการเห็นการเมืองท้องถิ่นในรูปแบบไหน ระหว่างการเมืองแบบเดิมที่ถูกผูกขาดโดยตระกูลการเมืองท้องถิ่น หรือการเมืองแบบใหม่ที่มีการถ่วงดุลจากหลายฝ่าย นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเมืองท้องถิ่นไทย



ภาพ TNN 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง