รีเซต

โควิด-19 : ยอดผู้ติดเชื้อสูงเป็นประวัติการณ์หลังโอมิครอนระบาดในอังกฤษกำลังบอกอะไรเรา

โควิด-19 : ยอดผู้ติดเชื้อสูงเป็นประวัติการณ์หลังโอมิครอนระบาดในอังกฤษกำลังบอกอะไรเรา
ข่าวสด
18 ธันวาคม 2564 ( 23:39 )
45
โควิด-19 : ยอดผู้ติดเชื้อสูงเป็นประวัติการณ์หลังโอมิครอนระบาดในอังกฤษกำลังบอกอะไรเรา

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. รัฐบาลสหราชอาณาจักรรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดรายวันใหม่ 93,045 ราย เป็นสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยมียอดผู้เสียชีวิต 111 คน โดยก่อนหน้านั้น ศ.คริส วิตตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของรัฐบาลได้ออกมาเตือนว่า สถิติผู้ติดเชื้อรายวันจะถูกทำลายอีกหลายครั้งในอนาคตอันใกล้

 

นอกจากนี้ หน่วยงานด้านสุขภาพและความมั่นคงของสหราชอาณาจักรรายงานเมื่อวันศุกร์ว่าเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศไปแล้ว เป็นสัดส่วนถึง 54% ของยอดผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หากเป็นเฉพาะในพื้นที่ลอนดอน มีอัตราส่วนถึง 80%

 

ล่าสุด บีบีซีได้เห็นเอกสารบันทึกการประชุมซึ่งหลุดออกมาซึ่งกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉิน (Scientific Advisory Group for Emergencies - SAGE) ที่ให้คำปรึกษารัฐบาล ระบุว่า หากรัฐบาลไม่เพิ่มมาตรการรับมือกับโควิดมากกว่านี้ ในอังกฤษอาจมีคนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างน้อยวันละ 3,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีจำนวนแค่ระหว่าง 696 ถึง 815 คน

 

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร นี่คือบทวิเคราะห์จากนิก ทริกเกิล ผู้สื่อข่าวสุขภาพบีบีซี

1. การระบาดใหญ่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน

ขณะที่เชื้อโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว สายพันธุ์เดลตาก็ยังไม่ได้หายไปไหน นั่นหมายความว่าเรามีโควิด 2 สายพันธุ์แพร่กระจายอยู่พร้อม ๆ กัน

 

นี่ยังเป็นช่วงแรก ๆ ที่สายพันธุ์ใหม่นี้กำลังระบาดแต่ดูเหมือนว่ามันแตกต่างจากตอนที่สายพันธุ์อัลฟาแซงหน้าโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม แล้วก็ตอนที่เดลตากลายมาเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศอีกที

 

มีแนวโน้มว่านี่เป็นเพราะโอมิครอนสามารถเอาชนะภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ได้จากการฉีดวัคซีนและที่เคยติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ โควิด 2 สายพันธุ์นี้ไม่ได้แข่งขันกันแพร่เชื้อไปยังกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน

 

นั่นหมายความว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาค่อนข้างเสถียร เหมือนกับที่อังกฤษเผชิญมาตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน

แต่โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

มีความเป็นไปได้ว่าสายพันธุ์สองสายพันธุ์นี้จะแพร่ระบาดไปพร้อมกันอีกสักพัก แต่คาดกันว่าในที่สุดโอมิครอนจะเข้ามาแทนที่เดลตาเพราะว่าวัคซีนและผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะสามารถป้องกันคนจากการติดโควิดสายพันธุ์เดลตาได้

 

2. จำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอังกฤษเตือนมาสักพักแล้วว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะสูงขึ้นมาก

แต่นี่เป็นจำนวนของคนที่ออกมาตรวจเชื้อเท่านั้น ตัวเลขที่แท้จริงจะสูงกว่านี้มาก

 

เชื้อโอมิครอนกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 2 วันแล้วตอนนี้ อย่างไรก็ดี การไม่มีระบบตรวจเชื้อที่มีประสิทธิภาพตอนที่การระบาดใหญ่เริ่มต้นทำให้เราเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อตอนนี้ไม่ได้

แต่หากผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 2 วัน เมื่อถึงวันคริสต์มาส จะมีผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนถึง 6.4 แสนคน และหลังจากปีใหม่ก็จะกระจายไปมากกว่านั้น

แต่อย่างไรก็ดี เราจะไม่ได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเยอะขนาดนั้นถูกบันทึกลงเพราะว่ารัฐมีความสามารถในการตรวจเชื้อคนไม่ถึง 1 ล้านรายต่อวัน

อย่างไรก็ดี อัตราการติดเชื้อจะชะลอตัวลงอย่างที่เห็นสัญญาณลักษณะนี้แล้วในแอฟริกาใต้

 

3. ความเสี่ยงต่อสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS)

ยังไม่มีใครรู้แน่ว่าจะมีคนป่วยหนักหรือเปล่าจากเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน

ก่อนหน้านี้ มีสัญญาณบ่งชี้ว่าโอมิครอนทำให้คนป่วยอาการไม่หนักมาก เพราะว่าการติดเชื้ออีกครั้ง หรือการติดเชื้อหลังฉีดวัคซีน ไม่น่าจะทำให้คนล้มป่วยหนัก

อย่างไรก็ดี หากมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเร็วอย่างที่เป็นอยู่ ก็จะมีคนถูกส่งต่อเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากขึ้น แม้ว่าความรุนแรงจากไวรัสจะลดระดับลงครึ่งหนึ่ง ตัวเลขผู้ป่วยที่โรงพยาบาลต้องรองรับก็จะเยอะอยู่ดี

ล่าสุด กลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉิน (Scientific Advisory Group for Emergencies - SAGE) ที่ให้คำปรึกษารัฐบาล ระบุว่า หากรัฐบาลไม่เพิ่มมาตรการรับมือกับโควิดมากกว่านี้ ในอังกฤษอาจมีคนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างน้อยวันละ 3,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีจำนวนแค่ระหว่าง 696 ถึง 815 คน

เอกสารการประชุมที่หลุดออกมาระบุอีกว่า : "เวลาในการประกาศใช้มาตรการ[เพิ่มเติม]เป็นเรื่องสำคัญ …การเลื่อนเวลาออกไปจนถึงปี 2022 จะลดประสิทธิภาพของการใช้มาตรการเป็นอย่างมาก" และจะยิ่งทำให้สถานสาธารณสุขต่าง ๆ ได้รับความกดดัน

.......................

 

ทำไมถึงยังไม่เพิ่มมาตรการ

เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นก็จะมีแรงกดดันให้ใช้มาตรการรับมือโควิดเข้มงวดขึ้น อาจจะถึงขั้นล็อกดาวน์อีกรอบ

นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าการใช้มาตรการต่าง ๆ ไม่ได้จะหยุดการระบาดใหญ่ได้ มันแค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น

มาตรการต่าง ๆ สามารถถูกใช้ในการซื้อเวลาได้ อย่างการล็อกดาวน์เมื่อปีที่แล้วก็ช่วยให้รัฐมุ่งหน้าฉีดวัคซีนคนได้มากขึ้น

เมื่อตอนนี้ 80% ของกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดได้รับวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แล้ว การล็อกดาวน์จะมีประโยชน์น้อยลงมาก

ในแง่หนึ่ง การล็อกดาวน์อีกครั้งจะทำให้เกิดความเสียหายเท่าเดิม แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจจะถือว่าหนักกว่าเดิมเมื่อพิจารณาเรื่องการงาน สุขภาพจิต และการศึกษา

เห็นได้ชัดว่าสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติกำลังประสบปัญหา แพทย์และพยาบาลกำลังต้องทำงานหนัก แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างกับเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วมากที่เตียงในโรงพยาบาลกว่า 1 ใน 3 เป็นของผู้ป่วยโควิด แต่ตอนนี้มีผู้ป่วยโควิดในโรงพยาบาลแค่ 8%

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง