ธนาคาร ตำรวจ ประชาชน กับสมรภูมิอายัดบัญชีที่ไม่มีวันจบ

ทุกวันนี้ใครๆ ก็รู้สึกได้ว่าแค่มีบัญชีธนาคารก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในพริบตา คนจำนวนมากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าบัญชีที่ใช้หมุนเงินในชีวิตประจำวันถูกอายัด ทั้งที่ตัวเองไม่เคยโกงใครด้วยซ้ำ คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ “แล้วใครเป็นคนตัดสินว่าเราผิด” และ “เราจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างไร” สิ่งที่เริ่มต้นด้วยความตั้งใจดีในการปราบปราม บัญชีม้า กลับพาไปสู่สมรภูมิที่ประชาชนต้องรับภาระหนักเกินไป
หัวใจของปัญหา อาชญากรรมวิ่งเร็วกว่ากฎหมาย
แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ในปัจจุบันใช้กลวิธีซับซ้อนกว่าเดิม เงินที่ได้จากการหลอกลวงมักถูกส่งผ่านหลายบัญชีเพื่อทำให้ยากต่อการติดตาม บางบัญชีเป็นของผู้ที่ยอมขายเพราะเห็นแก่เงินเพียงหลักพัน–หลักหมื่น แต่บางบัญชีเป็นของผู้ค้ารายย่อยหรือคนทำมาหากินสุจริตที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังรับเงินจากเครือข่ายผิดกฎหมาย
ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2568 มีความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงิน มากกว่า 5,600 ล้านบาท ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่าปัญหาอาชญากรรมออนไลน์กำลังขยายตัวเร็วกว่ากลไกทางกฎหมายที่มีอยู่
ดาบสองคมของมาตรการอายัดบัญชี
มาตรการอายัดบัญชีช่วยหยุดยั้งเงินที่ผิดกฎหมายได้ทันทีเมื่อมีการแจ้งเหตุ ถือเป็นข้อดีที่ทำให้รักษาหลักฐานและตัดเส้นทางมิจฉาชีพได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ข้อเสียก็ชัดเจนไม่แพ้กัน เพราะผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องพิสูจน์ความสุจริตแข่งกับเวลา
ตัวอย่างเช่น แม่ค้าขายของออนไลน์ที่ต้องใช้บัญชีหมุนเวียนซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าของ หรือโอนเงินเดือนให้ลูกจ้าง หากบัญชีถูกอายัดแม้เพียง 3–5 วัน ก็เพียงพอจะทำให้กิจการสะดุดหรือพังทลายได้ทันที
ตัวเลขที่สะท้อนความโกลาหล
- ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 1 สิงหาคม 2568 ศูนย์ AOC 1441 ระงับบัญชีไปแล้ว 821,090 บัญชี หรือเฉลี่ยวันละ 1,200 บัญชี 
- เดือนกันยายน 2568 เพียงเดือนเดียว พบว่ามีบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชีต่อสัปดาห์ 
- ช่วงวันที่ 14–19 กันยายน 2568 มีสายโทรเข้าสายด่วน 1441 รวม 10,157 สาย แต่มีเพียง 336 บัญชี ที่ปลดล็อกสำเร็จ คิดเป็นเพียง 15.54% ของผู้ที่ให้ข้อมูลครบถ้วน 
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ระบบอายัดมีประสิทธิภาพในการ “หยุด” แต่กลับเต็มไปด้วยคอขวดเมื่อถึงขั้นตอน “ปลดล็อก”
การปรับวิธีทำงานของธนาคารและรัฐ
เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อน ธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มปรับกลยุทธ์ เช่น
- ระงับเฉพาะยอดเงินที่เกี่ยวข้องกับคดี แทนที่จะอายัดทั้งบัญชี 
- ส่งข้อความแจ้งเตือนสาเหตุของการถูกระงับธุรกรรม พร้อมคำแนะนำการแก้ไข 
- ปรับระยะเวลา “ปลดล็อก” ผู้สุจริตจากเดิม 3–7 วัน เหลือเพียง 4 ชั่วโมง โดยมีรอบตรวจสอบวันละ 3 ครั้ง (11.00 น., 15.00 น., 19.00 น.) 
แม้จะช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง แต่ความจริงคือประชาชนจำนวนมากยังคงต้องเดินเอกสารไปกลับหลายหน่วยงาน เพราะการประสานงานระหว่างธนาคาร–ตำรวจ–ศูนย์ปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ยังซับซ้อนและไม่เป็นระบบ
ความคาดหวังจากสังคม
สิ่งที่สังคมเรียกร้องไม่ใช่แค่การ “เร่งปลดล็อก” แต่คือ มาตรฐานที่ทำได้จริง โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เช่น
- มีสลิปหรือหลักฐานการขายชัดเจน 
- บันทึกรายรับรายจ่ายอย่างง่าย 
- รายชื่อลูกค้าหรือคู่ค้าที่สามารถยืนยันตัวตนได้ 
หลักฐานเหล่านี้ควรเพียงพอสำหรับการพิสูจน์ความสุจริต ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์รอเป็นเดือนกว่าจะได้สิทธิในการใช้บัญชีคืน
การปรับตัวของมิจฉาชีพ
กลุ่มอาชญากรเองก็ไม่หยุดนิ่ง จากเดิมที่ใช้บัญชีบุคคลธรรมดา ปัจจุบันขยับไปสู่นิติบุคคล อี-มันนี่ และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ติดตามยากกว่า บางบัญชีถูก “เลี้ยง” ให้ดูปกติเป็นเวลานานก่อนเริ่มทำธุรกรรมผิดปกติ ทำให้แม้ผู้สุจริตที่ทำธุรกรรมกับบัญชีเหล่านี้ก็มีโอกาสถูกลากเข้าไปในเส้นเงินของคดีโดยไม่รู้ตัว
บทเรียนจากสมรภูมิอายัดบัญชีชี้ว่า “ความเร็วต้องเดินคู่กับความแม่นยำ”
- รัฐต้องกำหนดกระบวนการที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน 
- ธนาคารต้องสื่อสารตรงไปตรงมาและโปร่งใส 
- ประชาชนเองต้องรู้จักเก็บหลักฐานการเงินให้เป็นระบบ 
คำถามที่ยังคงต้องหาคำตอบคือ “เราจะป้องกันไม่ให้คนบริสุทธิ์ถูกลากเข้ามาในสมรภูมิที่ไม่ได้เลือกหรือไม่” และ “จะจัดการคนร้ายให้ได้ผล โดยไม่ทำร้ายคนดีไปพร้อมกันได้อย่างไร”
สุดท้าย ระบบที่เข้มแข็งกว่ามิจฉาชีพไม่ใช่ระบบที่ “อายัดเร็วที่สุด” แต่ต้องเป็นระบบที่ ยุติธรรม โปร่งใส และทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า หากเกิดปัญหา เขาจะไม่ถูกทิ้งให้ต่อสู้ตามลำพัง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
