รัฐมนตรีคลังสหรัฐมั่นใจได้เปรียบเจรจาการค้าจีน คาดคืบหน้าในไม่กี่สัปดาห์นี้

สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) เมื่อวันจันทร์ (5 พฤษภาคม 2568) ว่า เขาคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และจะได้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ยอมรับอะไรได้บ้าง
พร้อมระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีจีนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ระดับ 145% นั้นไม่สามารถดำเนินต่อได้ในระยะยาว เทียบเท่ากับเป็นการคว่ำบาตรทางการค้า และย้ำด้วยว่าสหรัฐฯ อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในข้อพิพาทครั้งนี้เพราะเป็นประเทศที่ขาดดุล ขณะที่จีนซึ่งเป็นประเทศที่เกินดุลนั้นมีสิ่งที่ต้องสูญเสียมากกว่า
แต่เบสเซนต์ก็ไม่ได้ยืนยันว่า ขณะนี้มีการเจรจาการค้าอย่างจริงจังกับจีนเกิดขึ้นหรือไม่
ทั้งนี้รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้แสดงความเห็นดังกล่าวท่ามกลางความไม่แน่นอนว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกำลังเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หลังจากทั้งสองประเทศเข้าสู่สงครามการค้าอย่างดุเดือดตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนพุ่งไปถึง 145% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยภาษี 125%
โดยก่อนหน้านี้แม้ทรัมป์อ้างว่ากำลังมีการเจรจาการค้ากับจีน แต่ทางการจีนกลับปฏิเสธว่าไม่มีการเจรจาใด ๆ เกิดขึ้น และทรัมป์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดการเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในเร็ว ๆ นี้
ขณะเดียวกันในงานประชุมนักลงทุน "Milken Institute Global Conference" เมื่อวันจันทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ได้กล่าวในงานประชุมว่านโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นแรงผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เบสเซนต์กล่าวสุนทรพจน์และเข้าร่วมในช่วงถาม-ตอบ โดยเขาได้กล่าวถึงความก้าวหน้าของฝ่ายบริหารในช่วงเวลากว่าสามเดือนนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ระบุว่า อเมริกาสมควรได้รับเศรษฐกิจยุคทองดังนั้นในช่วง 100 วันที่ผ่านมา เราหรือรัฐบาลสหรัฐได้เตรียมดินไว้แล้ว และเรายังได้กำจัดการสิ้นเปลืองของรัฐบาลและกฎระเบียบที่เป็นอันตราย
"เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการลงทุนภาคเอกชน และเราได้ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ด้วยกฎหมายภาษีฉบับใหม่ และต่อไป เราจะเก็บเกี่ยวผลผลิต และเราต้องการให้คุณเก็บเกี่ยวผลผลิตไปกับเรา อเมริกาคือจุดสำคัญของการเงินโลก เรามีสกุลเงินสำรองของโลก ตลาดทุนที่ลึกที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุด และสิทธิในทรัพย์สินที่แข็งแกร่งที่สุด"