คำเตือนครั้งใหญ่ หุ้น "เอไอ" เสี่ยงฟองสบู่แตก ซ้ำรอย ฟองสบู่ดอทคอม ?

IMF เตือนหุ้น AI เสี่ยง "ฟองสบู่แตก" เทียบเคียงยุคฟองสบู่ดอทคอม ปี 2000
จับตาความร้อนแรงของหุ้นเอไอ ที่หลายฝ่ายกังวลและออกคำเตือนระวังเกิดการปรับฐานรุนแรงครั้งใหญ่ สะเทือนโลก
"คริสตาลินา จอร์จีวา" กรรมการผู้จัดการ IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) กล่าวถ้อยแถลงก่อนการประชุมประจำปีระบุว่า เตือนว่าตลาดหุ้นที่กำลังคึกคักในวันนี้ เพราะเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ อาจจะพลิกกลับอย่างฉันพลันได้ หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มเทคโนโลยีกำลังสะท้อนความเชื่อที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้มูลค่าหุ้นถูก “ตรึงไว้” เกินศักยภาพที่แท้จริงด้วย
โดยเธอกล่าวย้ำและชี้ให้เห็นว่าว่า มูลค่าของหุ้นในวันนี้กำลังเข้าใกล้ระดับเดียวกับช่วงฟองสบู่ดอทคอมเมื่อ 25 ปีก่อน ในยุคที่โลกเคยหลงใหลกับอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับวันนี้กระแสความตื่นตัวต่อ AI ได้มาช่วยจุดไฟให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกและช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกไว้ แต่ถ้าหากมีการปรับฐานของราคาหุ้นอย่างรุนแรงขึ้นมาเมื่อใด หรือหากฟองสบู่แตกขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจโลก
และที่สำคัญ คือ ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องรับแรงกดดันหนักที่สุด เพราะมีช่องว่างในการบริหารความเสี่ยง การเข้าถึงเงินกู้ ดอกเบี้ยสูง และระบบการเงินที่อ่อนไหวต่อแรงช็อก ราคาหุ้นตกอาจก่อแรงกดดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนและหนี้ต่างประเทศ
คำเตือนที่ออกมาในครั้งนี้ ถือว่าชัดเจนมากกว่าคำเตือนที่เคยพูดเอาไว้ในอดีต เช่น คำแถลงของ IMF เมื่อเดือนตุลาคมปี 2543 ที่กล่าวถึงมูลค่าหุ้นที่ยังคงสูงและความเสี่ยงที่ฟองสบู่จะแตกแบบไร้ระเบียบ ซึ่งในเวลานั้นไม่กี่เดือนต่อมา ธนาคารกลางสหรัฐต้องลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.5% เพื่อพยุงตลาด
และไม่ใช่แค่ IMF ที่ออกโรงเตือน ล่าสุดธนาคารอังกฤษ (BoE) ก็ออกมาประกาศเตือนถึงความเสี่ยงในการปรับฐานอย่างรุนแรงในตลาดการเงินโลกเช่นกัน โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของ BoE (Financial Policy Committee) ได้ออกแถลงการณ์เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับวิกฤตดอทคอม เมื่อปี 2000
BoE โดยระบุว่า “ความเสี่ยงต่อการปรับฐานของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” จากตัวชี้วัดสำคัญอย่าง อัตราส่วนราคาต่อกำไรโดยใช้ค่าเฉลี่ยของกำไรต่อหุ้น 10 ปีย้อนหลังและปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ (CAPE Ratio) ของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้ระดับที่เคยเกิดในยุคฟองสบู่ดอทคอม
ดัชนี S&P 500 ที่รวมบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E ล่วงหน้า 1 ปี ราว 25 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในประวัติศาสตร์ แม้ยังไม่แตะระดับเท่ากับยุคฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 ก็ตาม โดยในปีนี้ S&P 500 พุ่งขึ้นกว่า 14% ดีดกลับขึ้นมาหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศภาษีการค้าเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
BoE ยังได้เตือนด้วยว่ามูลค่าตลาดหุ้นดูเหมือนจะถูกผลักขึ้นสูงเกินจริงในหลายตัวชี้วัด โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่มุ่งเน้น AI เมื่อรวมกับโครงสร้างตลาดที่มีการกระจุกตัวสูง โดยเฉพาะดัชนีหลักอย่าง S&P 500 ทำให้ตลาดมีความเปราะบางมาก หากความคาดหวังใน AI ลดลงจากที่ประเมินเอาไว้
โดยปัจจุบันนี้หุ้นเทคโนโลยี 5 อันดับแรกครองสัดส่วนเกือบ 30% ของมูลค่ารวมทั้งหมดของ S&P 500 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นหากเกิดการปรับราคาของหุ้น AI ผลกระทบต่อผู้ลงทุนจะรุนแรงกว่าปกติ เพราะน้ำหนักของหุ้นเทคในตลาดรวมมีมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมานั่นเอง
ผลสำรวจล่าสุดของธนาคารออฟอเมริกา (Bank of America – BofA) จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 3–9 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมผู้จัดการกองทุน 166 ราย ที่มีสินทรัพย์รวมกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พบว่าสัดส่วนผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่เชื่อว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นปัญญาประดิษฐ์ (AI) อยู่ในภาวะฟองสบู่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังราคาหุ้นกลุ่มนี้พุ่งแรงต่อเนื่องตลอดปี 2568
จากการสำรวจในเดือนตุลาคมพบว่า 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าหุ้นเทคโนโลยีมีราคาสูงเกินไป ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนที่เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบยังมองว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังมีมูลค่าที่เหมาะสม ขณะเดียวกันความกังวลว่าตลาดหุ้นทั่วโลกถูกประเมินค่าสูงเกินจริงก็เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนในเทคโนโลยี AI และความคาดหวังต่อประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งรวมบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 18% ในปีนี้ ส่งผลให้ ค่า P/E ล่วงหน้า (Forward P/E) เพิ่มขึ้นแตะเกือบ 28 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ราว 23 เท่า
จะเห็นได้ว่ามีเสียงเตือนประสานรับจากหลายฝั่ง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ความเห็นจาก "Jamie Dimon" ซีอีโอของ JPMorgan Chase ให้สัมภาษณ์ว่าเขากังวลมากกว่าคนอื่น ๆ ต่อความเสี่ยงในตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วย AI และอาจมองว่ามีแนวโน้มการปรับฐานในระดับที่สำคัญ
ขณะที่ "David Solomon" ซีอีโอของ Goldman Sachs ก็เตือนถึงโอกาสที่จะเกิด “drawdown” ในตลาดหุ้นในช่วง 12–24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากการประเมินมูลค่าบางส่วนอาจเกินจริง จนเม็ดเงินจำนวนมากอาจไม่สามารถคืนทุนได้ตามที่หวัง
รวมไปถึง Vanguard Group ก็เคยเตือนว่า ตลาดหุ้นที่ได้รับแรงหนุนจากหุ้น AI อาจเผชิญการ “ปรับฐาน” ได้ เพราะนักลงทุนประเมินโอกาสสูงเกินไปว่า AI จะเปลี่ยนแปลงผลผลิต (productivity) ได้เทียบเท่ากับการมาของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในอดีต
หลายเสียงต้าน เชื่อไม่เกิดฟองสบู่ในหุ้นเอไอ หรืออาจจะเป็น "ฟองสบู่เชิงบวก"
แม้จะมีคำเตือนครั้งนี้ออกมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเห็นในทางบวกออกมาสวนเช่นกันว่าหุ้นเอไอจะไม่เกิดฟองสบู่แตก หรืออาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ฟองสบู่เชิงบวก"
โดยเฉพาะความเห็นจาก "เจนเซ่น หวง" (Jensen Huang) ซีอีโอของ Nvidia ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่ากระแส AI ในครั้งนี้แตกต่างจากยุคดอทคอมอย่างมาก เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในปัจจุบัน เช่น Microsoft, Google และ Meta มีฐานทุนและรายได้ที่แข็งแกร่งมากกว่าสมัยนั้น ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดฟองสบู่แบบล่มสลายอย่าง dot-com ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเขาได้เน้นย้ำว่าความต้องการด้านคอมพิวติ้งสำหรับ AI เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และเงินลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนนวัตกรรมและผลผลิตที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ก็มีมุมมองใกล้เคียงกับซีอีโอของ Nvidia เช่นกัน โดย "Mary Daly" ประธาน Fed สาขาซานฟรานซิสโก ระบุว่าเศรษฐศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ฟองสบู่เชิงบวก” แม้บางการลงทุนอาจไม่ให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง แต่เงินลงทุนเหล่านี้สามารถสร้างนวัตกรรมและเพิ่มผลผลิตให้แก่เศรษฐกิจได้จริง เธอย้ำว่าฟองสบู่ AI แตกต่างจากฟองสบู่ยุคดอทคอม เพราะบริษัทใหญ่มีโครงสร้างการเงินที่มั่นคง สามารถรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ และนักลงทุนเองก็มีข้อมูลและความเข้าใจในการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น
จับตา "ฟองสบู่ดอทคอม" ปี 2000 สู่ "ฟองสบู่เอไอ" 2025 ?
ฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com Bubble) เกิดขึ้นช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนถึงต้นทศวรรษ 2000 เป็นช่วงที่บริษัทเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ ถูกประเมินค่าสูงเกินจริง นักลงทุนเชื่อว่าการเติบโตของอินเทอร์เน็ตจะสร้างรายได้มหาศาล ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทดอทคอมพุ่งสูงอย่างรวดเร็วแม้หลายบริษัทยังไม่ได้กำไรจริง บริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้น มีรายได้จำกัด แต่ถูกเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) ด้วยราคาสูง นักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างเข้าซื้อหุ้นด้วยความคาดหวังว่าจะได้กำไรเร็ว
ในช่วงฟองสบู่ดอทคอม ดัชนี Nasdaq Composite พุ่งจากประมาณ 1,000 จุดในปี 1995 ไปถึงเกือบ 5,000 จุดในเดือนมีนาคม 2000 การเติบโตนี้สะท้อนความตื่นตัวต่อเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต แต่ขาดความสอดคล้องกับผลประกอบการจริงของบริษัท การประเมินค่าสูงเกินจริงนี้จึงสร้างความเปราะบางให้ตลาดอย่างมาก
หลังจากเดือนมีนาคม 2000 เริ่มเกิดการขายหุ้นจำนวนมาก ราคาหุ้นดอทคอมหลายตัวร่วงอย่างรุนแรง บริษัทหลายแห่งล้มละลาย นักลงทุนสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล ตัวอย่างเช่น Pets.com ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เคยถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งของวงการออนไลน์ ล้มละลายหลังจากเข้าตลาดหุ้นเพียงปีเดียว เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ทำให้มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการลงทุนอย่างระมัดระวังมากขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
