สงครามอิหร่าน ต่อชีวิตทางการเมืองเนทันยาฮู?

สำนักข่าว อัล จาซีรา รายงานว่า ไม่นานมานี้ รัฐบาลผสมที่นำโดยเบนจามิน เนทันยาฮู เผชิญการญัตติไม่ไว้วางใจถึงสองครั้งในช่วงเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน

โดยในวันที่ 12 มิถุนายน รัฐบาลขวาจัดของเนทันยาฮูรอดมติไม่ไว้วางใจอย่างเฉียดฉิวหลังใช้เวลากว่า 11 ชั่วโมง เจรจาจนบรรลุข้อตกลงกับบรรดาพรรคการเมือง ultra-Orthodox ที่ผลักดันมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งในตอนนั้น หากตกลงกันไม่ได้ จะต้องมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่

ขณะที่ต่อมาในวันจันทร์นี้ มีความพยายามอีกครั้งที่จะทำให้เกิดการยุบสภา ผ่านญัตติไม่ไว้วางใจขับเคลื่อนโดยพรรคการเมืองที่มีพลเมืองปาเลสไตน์เป็นแกนนำ แต่ล้มเหลว  เพราะไม่สามารถถึงเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองสายกลางและสายขวาได้

แน่นอนว่า การเปิดฉากโจมตีอิหร่านครั้งใหญ่ เกิดขึ้นระหว่างสองเหตุการณ์นี้

Pnina Tamano-Shata  นักการเมืองฝ่ายค้านของอิสราเอล ซึ่งคัดค้านญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มักวิพากษ์วิจารณ์เนทันยาฮูมาตลอด กล่าวต่อบรรดาสส.ว่า ความพยายามที่จะลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้นไม่ดูความเป็นจริงในตอนนี้

ความเห็นของเขา ถือเป็นมุมมองกระแสหลักในแวดวงการเมืองของอิสราเอลเวลานี้ ซึ่งบรรดาพรรคฝ่ายค้านต่างหันมาสนับสนุนเนทันยาฮูและสงครามต่อต้านอิหร่าน

ด้าน Yair Lapid อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นิยามตนเองว่าอยู่สายกลาง ยังได้เขียนยทความลงในสื่อหลังอิสราเอลเริ่มโจมตีอิหร่านว่า เขาสนับสนุนเต็มที่และเรียกร้องให้สหรัฐฯเข้าร่วมสงครามนี้ นอกจากนี้ Lapid ยังถ่ายภาพจับมือกับเนทันยาฮู โผยภาพข้างหลังเป็นแผนที่ของอิหร่านด้วย 

ทั้งนี้ ไม่กี่วันก่อนหน้าเกิดการโจมตี Lapid ยังวิจารณ์เนทันยาฮูและเรียกร้องให้บรรลุข้อตกลงในฉนวนกาซาด้วยซ้ำ

ส่วน Naftali Bennett อดีตนายกรัฐมนตรีสายขวา ซึ่งมีคะแนนนิยมดีที่คาดว่าจะได้แทนที่เนทันยาฮูหากมีการเลือกตั้งใหม่ ได้บอกกับสื่ออิสราเอลว่า “ไม่มีฝ่ายขวา ไม่มีฝ่ายซ้าย ไม่มีฝ่ายค้าน และไม่มีรัฐบาลผสม หากเป็นเรื่องการโจมตีอิหร่าน”

ทั้งนี้ เมีอสัปดาห์ที่แล้ว ทุกอย่างดูเหมือนยากไปหมดสำหรับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งเผชิญแรงกดดันอย่างมากจากรัฐสภา สาธารณชน ตลอดจนกองทัพ ซึ่งเหนื่อยล้าจากสงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุดในฉนวนกาซา

นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันให้มีการสอบสวนเนทันยาฮูและรัฐบาลของเขาที่ล้มเหลวในการป้องกันเหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 รวมถึงยังมีกรณีการไต่สวนเรื่องการทุจริตที่ตามติดเนทันยาฮูมาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว

แต่ในตอนนี้ เกิดความเป็นเอกภาพในอิสราเอลภายใต้การนำของเนทันยาฮู เพื่อยืนหยัดต่อสู้ศัตรูอย่างอิหร่าน และแม้ว่าอิหร่านจะโจมตีอิสราเอลกลับด้วยขีปนาวุธจนมีผู้เสียชีวิตในอิสราเอลไปแล้วอย่างน้อย 24 รายก็ตาม

โพลสำรวจสามสำนักในอิสราเอล เผยว่า ประชาชน 80-90% สนับสนุนการโจมตีอิหร่าน อีกทั้งสื่อต่างๆทั่วประเทศต่างนำเสนอเนื้อหาเพื่อสนับสนุนเนทันยาฮู

Nimrod Flaschenberg นักวิเคราะห์ด้านการเมืองอิสราเอลระบุว่า เนทันยาฮูและนักการเมืองคนอื่นๆ นำเสนอว่าอิหร่านคือต้นตอของความรู้สึกต่อต้านอิสราเอลในตะวันออกกลางมายาวนานแล้ว แนวคิดที่ว่าอิหร่านคือต้นตอของความช่วยร้ายทั้งปวงฝังลึกอยู่ในสังคมอิสราเอล

อย่างไรก็ตาม อนาคตก็ใช่ว่าจะแน่นอนเสมอไป สำนักข่าวอัล จาซีรา รายงานว่า เนทันยาฮูเองก็ทำให้แรงสนับสนุนหายไปได้เหมือนกัน

ที่ผ่านมา เนทันยาฮูมักตั้งเป้าหมายของสงครามไว้สูงสุด เช่นในกาซา เขาประกาศว่าต้องชนะกลุ่มฮามาสอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น ในขณะที่กรณีของอิหร่าน เนทันยาฮูระบุว่า อิสราเอลจะยุติโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และยังเปรยถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบของอิหรานด้วย 

แต่ในความเป็นจริง เป็นเรื่องง่ายที่จะเริ่มต้นสงคราม ไม่ง่ายนักที่จะจบสงครามได้โดยทำให้ฐานเสียงทางการเมืองพอใจด้วย

Dov Waxman นักวิชาการด้านอิสราเอลศึกษาจาก University of California-Los Angeles กล่าวว่า เนทันยาฮูกำลังเดิมพันครั้งใหญ่

“หากสงครามไม่ประสบความสำเร็จในการทำลายโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน หรือ ทำให้อิหร่านยอมถอยแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็จะกลายเป็นความล้มเหลวของอิสราเอล และแน่นอนว่า จะส่งผลกระทบในทางการเมืองต่อเนทันยาฮูเช่นกัน และหากสงครามยิดเยื้อ อิสราเอลสูญเสียมากขึ้น ความเห็นสาธารณะก็จะเปลี่ยนเป็นต่อต้านสงคราม และตำหนิเนทันยาฮูที่เป็นฝ่ายเริ่มสงครามนี้”

อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮูอาจไม่สนใจเท่าไหร่นัก เห็นได้จากกรณีของกาซา เขาเพิกเฉยต่อแรงกดดันที่ให้บรรลุข้อตกลงปล่อยตัวประกันกับกลุ่มฮามาส แม้ว่าจะถูกครอบครัวตัวประกันวิจารณ์อย่างหนักก็ตาม

ด้าน Flaschenberg มองว่า หากความเสียหายยังเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ เนทันยาฮูมีเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่กี่วันเท่านั้นที่จะได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้คน แต่จากที่เห็นในกาซา เขาดูไม่สนใจเท่าไหร่นัก เพราะหากเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการทำสงครามตลอดกาล เขาก็จะทำต่อไป…มีเพียงสิ่งเดียวที่จะหยุดสงครามครั้งใหม่นี้ได้ ก็คือ จุดยืนที่เด็ดขาดจากสหรัฐฯเท่านั้น