ติดดาบ ‘ธปท.’ ดูแลทอง สกัดเงินเทาแก้ค่าบาท

#ธปท. #ทันหุ้น - ธปท.รับเทรดทองผ่านแพลตฟอร์มตัวการบาทแข็งเร็ว วาง 3 มาตรการดูแล สรรพากรสั่งรายงานข้อมูลธุรกรรม เล็งเก็บภาษีเฉพาะ ด้าน “ผู้ว่าฯวิทัย” พบเทรดทอง 50% สูงของจีดีพี แต่ไม่มีใครคุม แก้กฎหมายเข้าไปดูแลมกราคมนี้ ด้านโบรกมองการดูแลแพลตฟอร์มทองคำช่วยแก้ปัญหาฟอกเงินลดการแข็งค่าเร็ว แต่แนวโน้มบาทแข็งอยู่ มองหุ้นได้ดี
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า ได้วาง 3 มาตรการในการดำเนินการจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประกอบด้วย
1. ให้กรมสรรพากร กำหนดแนวทางสำหรับผู้ให้บริการซื้อ-ขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จะต้องมีการรายงาน หรือนำส่งข้อมูลธุรกรรมให้กรมสรรพากร เหมือนกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์อื่นๆ ที่ต้องมีการรายงานข้อมูลให้กรมสรรพากรอยู่ในปัจจุบัน
2. ให้กรมสรรพากร พิจารณาความเหมาะสม หากจะต้องจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับธุรกิจการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยให้กรมสรรพากรไปพิจารณาว่า จะใช้มาตรการภาษีธุรกิจเฉพาะในการดูแลเรื่องนี้ต่อไป
3. ธปท. จะไปดูแนวทางในการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เหมาะสม เช่น จะมีการกำหนดเพดาน หรือวงเงิน เป็นต้น
@ เทรดทองสนั่นไร้ผู้ดูแล
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วมาจากธุรกรรมซื้อขายทองคำ ซึ่งปริมาณธุรกรรมการซื้อขายทองรวมกันในปี 2568 ประเมินว่าจะเกิน 50% ของจีดีพี โดยเฉพาะธุรกรรมการซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 80% ซึ่งเป็นรายใหญ่ราว 15-16 ราย โดยมีปริมาณการซื้อขายสูง 3-4 ราย ที่ผ่านมา ยังไม่มีหน่วยงานที่เข้ามากำกับดูแลการทำธุรกรรมในส่วนนี้ ทำให้ ธปท. อยากเข้าไปดูแล
ทั้งนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการประสานกับกระทรวงการคลัง ในการแก้ไขประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อให้เพิ่มอำนาจให้ ธปท. ในการกำกับดูแลธุรกรรมต้องสงสัยการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะร้านทองรายใหญ่ และแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ และคาดว่าจะสามารถออกประกาศดังกล่าวได้ภายในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม 2569
ซึ่งจะทำให้ ธปท. มีอำนาจในการกำกับข้อมูล เช่น ซื้อขายทองในรูปเงินบาทที่มีมูลค่าสูงบนแอปฯ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินบาท เพราะธุรกรรมผ่านออนไลน์ จากที่ผ่านมาไม่ได้กำกับธุรกิจผู้ค้าทองคำ ซึ่งในที่สุดจะต้องมีคนกำกับธุรกิจร้านค้าทอง เพราะมีธุรกรรมสูงมาก และเข้าใจว่าไม่มีประเทศไหนสูงเท่าไทย อย่างไรก็ดี ยืนยันว่ามาตรการนี้ จะไม่มีผลกระทบและไม่เกี่ยวข้องกับรายย่อยที่มีการซื้อขายทองคำตามร้านทองทั่วไป
@ เข้มงวดสอบเอกสารเงินเข้าไทย
นอกจากนี้ จะมีการออกเกณฑ์ให้สถาบันการเงิน เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารเงินเข้าประเทศ โดยเฉพาะในส่วนที่ต้องขายดอลลาร์เพื่อซื้อบาท ซึ่งที่ผ่านมา มีการเปิดเสรีมาตลอดกว่า 10 ปี โดยหลังจากนี้ จะต้องมีการชี้แจงให้ชัดเจนถึงแหล่งที่มาของเงินดังกล่าว และวัตถุประสงค์ในการนำเข้ามาใช้ เพื่อเป็นการป้องปรามในภาพที่ใหญ่ขึ้น โดยในส่วนนี้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
"ตั้งแต่ต้นปี 2568 พบว่า เงินบาทแข็งค่าไปแล้ว 9.4% นำภูมิภาค เป็นรองเพียงมาเลเซีย ขณะที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าไปแล้ว 4.2% ถือว่าเร็วมาก"
ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันให้การซื้อขายทองคำ ไปอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดผลกระทบต่อค่าเงินบาท รวมทั้งได้เพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของกลุ่มบริษัททองคำ และให้กลุ่มผู้ค้าทองคำรายใหญ่ รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมซื้อขายทองคำโดยละเอียด อย่างไรก็ดี ผลต่อค่าเงินบาทจากธุรกรรมของบริษัททองคำยังคงสูงต่อเนื่อง
@ กลยุทธ์ลงทุน
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ทันหุ้น" ว่า มาตรการคุมเข้มแพลตฟอร์มการซื้อขายทองคำออนไลน์ จะช่วยสกัดธุรกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือการฟอกเงิน เช่น กรณีที่ซื้อหรือขายเพียงขาเดียว หรือการแอบซ่อนเงินนอกระบบแล้วเปลี่ยนเป็นทองคำเพื่อส่งออก, การกำหนดให้รายงานข้อมูลจะทำให้เห็นความผิดปกติและช่วยลดความผันผวนได้บ้าง
แต่ประเมินกรอบเงินบาทไว้ที่ 30.70 - 32.0 บาทต่อดอลลาร์ แม้จะมีมาตรการเข้ามาดูแลไม่ให้แข็งค่าเร็วไป แต่ทิศทางหลักของบาทก็ยังคงแข็งค่า ต่อไป เพราะสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้มากกว่าไทย
สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าและอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ติดลบ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นไทยแต่ยังเลี่ยงหุ้นกลุ่มส่งออก เนื่องจากจะได้รับแรงกดดันจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่วน กลุ่มเด่นน่าลงทุน ประกอบด้วย กลุ่มท่องเที่ยว ได้รับโมเมนตัมดีต่อเนื่อง เช่น AOT, MINT, CENTEL 2. กลุ่มบริโภคในประเทศ CPALL, Global จะได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีสินค้านำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท รวมถึง TFG ที่เน้นตลาดในไทยมากกว่า CPF, GFPT
รวมถึงกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและ Data Center ทั้ง GULF, ADVANC, BGRIM ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและมีความมั่นคงของรายได้ในระยะยาวมากกว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
