รีเซต

TPIPP 'หยวนต้า' มองปี 66 เข้ารอบกำไรฟื้น ปันผลเด่นราว6%

TPIPP 'หยวนต้า' มองปี 66 เข้ารอบกำไรฟื้น ปันผลเด่นราว6%
ทันหุ้น
7 มิถุนายน 2566 ( 15:03 )
845
TPIPP 'หยวนต้า' มองปี 66 เข้ารอบกำไรฟื้น ปันผลเด่นราว6%

บล.หยวนต้า ส่องหุ้น TPIPP สาระสำคัญจาก Opportunity Day วันที่ 6 มิ.ย. ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 440 MW แต่ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 502 MW ในปี 2567 และ 538 MW ในปี 2569 ตามลำดับ ปี 2566 บริษัทฯ ไม่มีแผน COD เพิ่มกำลังผลิต แต่โครงการกำลังผลิตใหม่จะทยอยเข้ามา ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ประกอบด้วยการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าเครือ TPIPL (PrivatePPA) ทั้งโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าลม รวมทั้งการจำหน่ายไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงขยะให้แก่การไฟฟ้า

 

บริษัทฯ อยู่ระหว่างทยอยปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการ Coal Replacement ระยะที่ 1-2 ไปแล้ว (COD ปี 2565) สามารถลดการใช้ถ่านหินได้ 25% และเดือนเม.ย.2566 บริษัทฯ ได้ COD โครงการทดแทนถ่านหินระยะที่ 3 ช่วยลดใช้ถ่านหินได้อีก 15% ผู้บริหารมีแผนปรับปรุงการผลิตต่อเนื่อง ภายใต้โครงการระยะที่ 4-6 คาดทยอยลดใช้ถ่านหินได้อีก 60% ตั้งแต่เดือนส.ค. 2567 - เม.ย. 2568 ส่งผลให้สามารถลดกำลังผลิตของโรงไฟฟ้าถ่านหินจาก 220 MW ในปัจจุบัน เหลือ 150 MW ในปี 2567 และ 0 MW ในปี 2569

 

แม้เดือนม.ค. - ส.ค. 2565 โรงไฟฟ้า TG3 และ TG5 ได้สิ้นสุดการได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารมองว่าค่าไฟฟ้า Ft ที่สูงขึ้นในปี 2566 จะเพียงพอชดเชยการสิ้นสุด Adder ได้ คาดราคาขายไฟฟ้าปี 2566 จะเฉลี่ยระดับ 4 บาท/หน่วย สูงกว่าปี 2565 และปี 2561 ที่ยังได้รับ Adder ระดับ 3-3.7 บาท/หน่วย

 

ปริมาณขายไฟฟ้าปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น YoY ตามความต้องการใช้จากโรงงานปูนซีเมนต์ และแผนปิดซ่อมบารุงลดลง

 

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้การรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของไทย (T-VER) ระหว่างปี 2560 – 2563 รวม 7.2 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และผู้บริหารคาดจะได้รับรองเพิ่มอีก 4.6 แสนตัน ทำให้จะมีคาร์บอนเครดิตรวมราว 1.2 ล้านตัน

 

**คาดผลงานปี 66 ฟื้นตัว 22%

 

ภาพรวมสอดคล้องกับมุมมองเดิมของฝ่ายวิจัย คาดผลประกอบการปี 2566 ฟื้นตัว +22% YoY เป็น 3.4 พันล้านบาท หนุนจาก 1) การเพิ่มขึ้นของราคาขายไฟฟ้าสอดคล้องค่า Ft (ปี 2565 ค่า Ft เฉลี่ยอยู่ที่ 40 สตางค์ต่อหน่วย เทียบกับค่าเฉลี่ยเดือนม.ค. - ส.ค. 2566 ที่ 123 สตางค์ต่อหน่วย) 2) อัตราการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นตามอุปสงค์จาก TPIPL และแผนปิดซ่อมบำรุงลดลง 3) ต้นทุนเชื้อเพลิงปรับลงตามราคาถ่านหินในตลาดโลก และการทยอยปรับไปใช้เชื้อเพลิง RDF ทดแทนถ่านหิน

 

แนวโน้ม Q2/66 แม้ราคาขายไฟฟ้าจะลดลง QoQ ตามค่า Ft แต่คาดผลประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะสามารถชดเชยได้จากต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินที่ลดลง และราคาขายไฟฟ้าช่วงต้นไตรมาส (เดือนเม.ย.) ยังอยู่ระดับสูง

 

แม้ผลประกอบการตั้งแต่ปี 2568 มีความท้าทายจากการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้า TG4 และ TG6 รวม 90 MW อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่านักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 4.00 บาท จากการเข้าสู่รอบการฟื้นตัวของกำไรในปี 2566 และราคาปัจจุบันมี Dividend Yield น่าสนใจราว 6%

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง