รีเซต

ดอกเบี้ยสูงกดดันตลาดหุ้น กลุ่มเมกะเทรนด์ลงทุนต่อ

ดอกเบี้ยสูงกดดันตลาดหุ้น กลุ่มเมกะเทรนด์ลงทุนต่อ
ทันหุ้น
12 ตุลาคม 2566 ( 00:55 )
56
ดอกเบี้ยสูงกดดันตลาดหุ้น กลุ่มเมกะเทรนด์ลงทุนต่อ

#KBank Private Banking #ทันหุ้น - เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง คาดการณ์ 2แนวโน้มสำคัญเศรษฐกิจโลก คือการสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยอย่างรุนแรงได้ และวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกกำลังจะสิ้นสุดลง แต่อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่โดยปกติจะไม่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แต่ยังมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดี ผ่านกองทุน K-CHANGE และ K-HIT ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่รับกับเทรนด์ในอนาคต


นางสาวศิริพร  สุวรรณการ  Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่สามารถข้ามผ่านความท้าทายมาได้และน่าจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยอย่างหนักได้ คาดว่าโลกยังจะอยู่ในภาวะดอกเบี้ยสูงต่อไปอีกระยะ และจะยังสร้างความผันผวนต่อต่อตลาดหุ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงหมายถึงต้นทุนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจกระทบต่อผลกำไรของผู้ประกอบธุรกิจ


นอกจากนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูง นักลงทุนจะหันไปฝากเงินหรือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทนการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างไรก็ดี KBank Private Banking ยังเชื่อว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่สร้างการเติบโตให้เงินลงทุนได้ดีในระยะยาว จึงแนะนำให้นักลงทุน Stay Invested หรือลงทุนตลอดเวลา


ชูกองเด่น K-CHANGE

ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่ม Winners of the New Economy หรือหุ้นกลุ่มผู้ชนะในยุคเศรษฐกิจใหม่ ผ่านการลงทุนใน กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์หุ้นทุน (K-CHANGE) และกองทุนเปิดเค โกลบอล ไฮอิมแพ็คธีมาติกหุ้นทุน (K-HIT) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงกว่าตลาด สามารถเผชิญกับภาวะดอกเบี้ยสูง รวมทั้งได้ประโยชน์หากดอกเบี้ยปรับลดลงในปีหน้า


กองทุน K-CHANGE เน้นลงทุนในหุ้นของ 25-50บริษัท โดยหนึ่งในตัวกลั่นกรองสำคัญคือบริษัทที่ไปลงทุนคาดว่าจะสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัวภายใน 5 ปี นอกจากนี้ บริษัทต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก (Positive Impacts) ใน 4ประเด็น ได้แก่ ความเท่าเทียมกันทางสังคมและการศึกษา การดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การเพิ่มคุณภาพชีวิต และการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงธุรกรรมทางการเงิน โดยมีการวัดผลที่จับต้องได้ว่าเงินลงทุนสร้างผลบวกต่อโลกอย่างไร

เช่น เงินลงทุน 10 ล้านบาท ในปี 2564 ช่วยให้ประชาชน 283คนได้รับการศึกษา คนในพื้นที่ห่างไกล 126คนเข้าถึงบริการทางการเงิน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 68เมตริกตัน และประหยัดน้ำมากกว่า 400,000 ลิตร เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าไปดูที่ Website ของ Baillie Gifford กองทุนนี้บริหารโดย Baillie Gifford ที่มองว่าแม้ AI (Artificial Intelligence) จะอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ได้เพิ่มประสิทธิภาพแก่การทำกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์อย่างมาก และการพัฒนาในระยะต่อไปจะเป็นไปแบบก้าวกระโดด


โดยตัวอย่างบริษัทที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ ผู้ให้บริการการศึกษาออนไลน์ที่นำ AI มาปรับแผนการเรียนให้ตรงกับลักษณะของผู้เรียน นอกจากนี้ยังลงทุนในบริษัทที่พัฒนาฮาร์ดแวร์รองรับการประมวลผล เช่น ผู้ผลิตเครื่องจักรที่ใช้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งมีเทคโนโลยีดีที่สุด สำหรับหุ้นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในพอร์ตการลงทุนได้แก่หุ้นของบริษัทให้บริการโอนเงินต่างประเทศในราคาถูก ที่นอกจากจะเติบโตสูงแล้ว ยังช่วยแรงงานข้ามชาติส่งเงินกลับบ้านอีกด้วย


*กองทุน K-HITเมกะเทรนด์โลก

กองทุน K-HIT ลงทุนในธีมก้าวทันโลก โตตามเมกะเทรนด์ โดยกองทุนนี้กระจายลงทุนในหุ้นของ 150-200 บริษัท ในธีมการลงทุนที่สอดคล้องกับ Megatrend หรือกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น 

  • 1.Digital Life : เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน  
  • 2.Health Tech : นวัตกรรมทางการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพ 
  • 3. Infrastructure : การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้มานานให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น 4. Intelligent Machine : กระบวนการผลิตระบบอัตโนมัติหรือการใช้หุ่นยนต์ ซึ่งถูกผลักดันจาก โควิด-19ที่คนเข้าทำงานไม่ได้รวมทั้งค่าแรงงานที่สูงขึ้นในหลายประเทศ
  • 5.Pet Economy : การใช้จ่ายให้สัตว์เลี้ยง จากการที่คนในสังคมปัจจุบันมองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวที่พร้อมใช้จ่ายให้โดยไม่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น 

โดย Allianz Global Investors ผู้บริหารกองทุนนี้ เห็นถึงโอกาสในอุตสาหกรรม Healthcare ที่นอกจากจะมีเม็ดเงินเพื่อการวิจัยและพัฒนาจำนวนมากแล้ว ความก้าวหน้าของระบบการประมวลผลแบบ Quantum Computing ยังทำให้การพัฒนายาหรือแนวทางการรักษาโรครวดเร็วและตรงจุดมากขึ้นอย่างชัดเจน


นอกจากนี้ ธีมการลงทุนเด่นในช่วงที่ผ่านมาได้แก่ Infrastructure, Digital Life และ Intelligent Machine ซึ่งการใช้หุ่นยนต์ในบริการพื้นฐานเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยกองทุนปรับสัดส่วนการลงทุนในธีมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และเน้นไปที่หุ้นของบริษัทที่มีกระแสเงินสดสูง รวมทั้งมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องตามที่คาดหวัง


นางสาวศิริพร กล่าวในตอนท้ายว่า “ตั้งแต่ต้นปี 2566 ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยส่วนใหญ่มาจากหุ้นเพียง 7 ตัว คือ Apple, Microsoft, Nvidia, Tesla, Meta Platforms, Alphabet และ Amazon ดังนั้น มื่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอยและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยลดลง จะเป็นโอกาสให้ราคาของหุ้นอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้


*หุ้นไทยเน้นกลุ่มพลังงาน

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอันดับต้นๆ ในตลาดหุ้นไทยยังเน้นไปที่พลังงานดั้งเดิม ขณะที่กลุ่ม Information Technology (IT) มีสัดส่วนน้อยมากและส่วนใหญ่เป็นบริษัทรับจ้างผลิตหรือวางระบบ ต่างจากตลาดหุ้นโลกที่มีสัดส่วนของกลุ่ม IT มากกว่าและเป็นบริษัทที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนไทยจะแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Winner of the New Economy ผ่านกองทุนในต่างประเทศ”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง