ไฟป่า : สมบัติ บุญงามอนงค์ คนธรรมดาท้ารบไฟ ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น-นวัตกรรม ทำ “สงครามลูกผสม”

จุดความร้อน (ฮอตสปอต) กว่า 5 พันจุดใน จ.เชียงราย ได้เปลี่ยนทิวทัศน์ของผืนป่าสีเขียวบนพื้นที่เหนือสุดแดนสยามให้กลายเป็นทะเลเพลิงสีแดงในช่วงเวลาหนึ่ง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลือง.. หมอกยามเช้าถูกแทนที่ด้วยควัน..
อากาศที่สูดเข้าปอดทุกวันเต็มไปด้วยมลพิษจากฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ในระดับ "เริ่มมีผลกระทบ" และ "มีผลกระทบต่อสุขภาพ" ของผู้คน.. ไฟป่าที่เชียงราย ทำให้คนธรรมดาที่ไม่เคยยืนหน้าไฟแม้สักครั้งในชีวิตอย่าง สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือที่รู้จักในนาม "บก.ลายจุด" ต้องออกไปปะทะกับมัน เข้าร่วมภารกิจที่ไม่มีวันหยุดพักมานานกว่า 1 เดือนแล้วนับจาก 11 มี.ค. ในฐานะอาสาดับไฟป่า
- ไฟป่าเชียงใหม่ ทำไมปีนี้ หนักกว่าทุกปี
- "ถ้ารอ จนท.ไฟอาจจะไหม้เยอะกว่านี้" เสียงจากหญิงกะเหรี่ยงปกาเกอะญอจากดอยอินทนนท์
- สู้ไฟจนตัวตาย เรื่องเคราะห์ร้ายของหญิงอาสาสมัครดับไฟป่า
- ลอกเปลือก สมบัติ บุญงามอนงค์ มองทะลุแก่นคิดในปฏิบัติ "เกียน"
เขากลับไปที่มูลนิธิกระจกเงาเชียงราย ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ใช้ "ห้องปฏิบัติการทางสังคม" ที่เคยร่วมสร้างไว้เมื่อปี 2541 เพื่อทำเรื่องสัญชาติ-ยาเสพติด เป็น "ศูนย์บัญชาการดับไฟป่า" ร่วมกับเพื่อนเก่าและเหล่าอาสาราว 30 ชีวิต
แม้ออกจากพื้นที่เดิมไปโลดแล่นในพื้นที่การเมือง-ในเมืองหลวงนาน 15 ปี แต่ "ไฟอยู่ในใจ" ของนักกิจกรรมการเมืองและหัวหน้าพรรคเกียนมาโดยตลอด
"ผมเคยอยู่เชียงราย 7 ปี (2541-2548) บางปีเลวร้ายมาก หายใจแทบไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องที่มีคนอัดควันบุหรี่เข้าไป แต่ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้ สติปัญญาไม่ถึง เป็นประเด็นที่อยู่ในใจตลอด แต่ตอนนี้นึกออกแล้วว่าจะทำอย่างไร... ผมเบื่อที่จะเป็นฝ่ายนั่งดูและบ่นเวลาเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ลงมือทำมันส์กว่า" สมบัติ กล่าวกับบีบีซีไทย
4 ปีก่อนหน้านี้.. มูลนิธิกระจกเงาเริ่มเอาตัวไปเกาะเกี่ยวกับองค์กรจัดการไฟป่าเพื่อสั่งสมองค์ความรู้ พร้อม ๆ กับการจัดวางระบบภายในจนแน่ใจว่าสามารถจัดการอาสาสมัครได้ในภาวะวิกฤฤต
6 เดือนก่อนหน้านี้.. สมบัติกับพวก เริ่มจัดทำแผนที่ สำรวจเส้นทาง เดินสายพูดคุยกับผู้นำชุมชน/เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าของรัฐ ระดมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนประกาศรับไพร่พลเข้าร่วมทัพอาสาดับไฟป่าเชียงราย
ไม่มีเครื่องแบบเกียรติยศใด ๆ ให้บรรดาผู้กล้าที่ออกไปเผชิญหน้ากับกองทัพไฟ มีแต่ชุดแต่งกายเดิม ๆ เสื้อแขนยาว-กางเกงขายาวป้องกันหนามเกี่ยว รองเท้ายางที่ซื้อจากตลาดแม่สายในราคาเพียง 150-200 บาท ทว่าเหมาะแก่ลุยป่าฝ่าดงจนถูกเรียกขานว่า "สตั๊ดดอย" หรือ "สตั๊ดแม้ว" และสิ่งของจำเป็นอีกเล็กน้อย อาทิ มีด หินลับมีด วิทยุสื่อสาร (ว.) น้ำดื่ม และอาหาร ไม่นับรวม "อาวุธประจำตำแหน่ง"
มติห้ามกินข้าวพร้อมกัน
กิจวัตรของ สมบัติกับพวก ซ้ำเดิมแทบทุกวัน เริ่มต้นด้วยหัวหน้าศูนย์ตรวจสอบ ฮอตสปอตผ่านแอปพลิเคชันซึ่งจะรายงานข้อมูลใหม่ราว 01.00-02.00 น. เลือกจุดที่จะเข้าตีไฟ แล้วจึงลุยเข้าป่าไปตั้งแต่ 08.00-09.00 น. ก่อนกลับออกมาราว 17.00 น. ล้อมวงพูดคุยสรุปบทเรียนจากหน้างาน จากนั้นจึงแยกย้ายกันพักผ่อน
ทว่าความต่างของแต่ละวันคือ "ประสบการณ์" ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เพราะมันจะช่วยให้พวกเขาทำภารกิจในวันต่อ ๆ ไปได้ดีขึ้น "มีอยู่วันหนึ่งกินข้าวพร้อมกัน อาสาหิว ไฟลามดับไม่อยู่ ถอยเลย ต่อมาจึงมีมติว่าถ้าไฟยังไม่สงบ ห้ามกินข้าวพร้อมกัน ไม่งั้นวิ่งกันตับแลบ" เขาเล่า
เอาน้ำเข้าป่า" เปลี่ยนวิถีคนโจมตีไฟ
ใน "ทัพหน้า" ดับไฟป่าของมูลนิธิกระจกเงา แบ่งออกเป็น 5 หน่วยย่อย สมบัติ วัย 52 ปี เลือกประจำการในตำแหน่ง "พลน้ำ" โดยมี "มือมีด" เป็นด่านหน้ารับหน้าที่ฟันทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อเปิดทางให้ "มือเป่า" นำเครื่องเป่าใบไม้เข้าทำแนวกันไฟได้อย่างถนัด จากนั้น "พลน้ำ" ที่สะพายถังน้ำหนัก 20 กก. ก็จะตามเข้าไปในแนวดำ (แนวที่ไฟไหม้ไปแล้ว) จัดการตอไม้แห้งที่ยังมีไฟสุมขอนป้องกันไม่ให้ไฟกลับมาปะทุอีก ตลอดจนหาแหล่งน้ำและส่งสายยางหลายร้อยเมตรเข้าไปรอ นอกจากนี้ยังมี "นักบินโดรน" และ "หน่วยสวัสดิการและสนับสนุน" ร่วมด้วย
"คนที่ทำเรื่องดับไฟป่า เขาไม่ใช้น้ำเพราะหาไม่ได้ ถ้าต้องแบกน้ำเดินไปเรื่อย ๆ มันก็หนัก ไม่สอดคล้องในทางปฏิบัติ แต่เนื่องจากผมง่อย ไม่สามารถทำแบบมืออาชีพทำได้ (ทำแนวกันไฟ) เลยคิดถึงเครื่องทุ่นแรง ผมจึงทุ่มเทสุดกำลังที่จะเอาน้ำเข้าป่าให้ได้ แล้วไปเจอปั๊ม DC ที่ทำงานได้ 2-3 ชม. ใช้สายยางต่อ ๆ กันส่งน้ำขึ้นเขาได้ 100 เมตร แต่ต้องหาคนแบกทั้งปั๊มและสายยาง นี่ทำให้วิธีการตีไฟ เล่นกับไฟ ดับไฟมันเปลี่ยนไป"
"สงครามลูกผสม" ภูมิปัญญาท้องถิ่น-นวัตกรรม
เมื่อคนเล็ก ๆ ลุกขึ้นมาท้ารบกับไฟ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่-ไร้รูปแบบ การลดความสูญเสียที่ดีที่สุดจึงอยู่ที่การทำความรู้จักกับศัตรู และรู้จักวางกลศึก "ไฟป่ามีพฤติกรรมไม่แน่นอน ถ้าได้รับเชื้อไฟจะโหมรุนแรงเป็นยักษ์ตัวใหญ่ แต่ถ้าติดแค่ใบไม้ก็จะลดตัวลงติดพื้น กฎการทำงานของเราคือจะไม่เข้าไปดับไฟที่เป็นแผงใหญ่ ๆ ต้องรอจนไฟเล็กเลียบดิน เราถึงเข้า"
นอกจากนี้ยังมีบางสมรภูมิที่ สมบัติกับพวก "ไม่ขอบุกเข้าไป" นั่นคือ ป่าไผ่ที่ไฟกำลังท่วม เพราะถ้า "ไผ่ระเบิด" จะเกิดสะเก็ดไฟพุ่งอย่างรุนแรง และป่าหญ้าที่ปกคลุมด้วยดอกหญ้าสีขาวแล้วเพิ่งติดไฟ เพราะมันพร้อมกลายร่างเป็น "ดาวกระจาย" ส่งสะเก็ดไฟปลิวว่อนไปทั่วแผ่นฟ้าด้วยความเร็ว-แรง-ล้อมรอบตัวคนที่หาญไปท้ารบกับไฟ
"การตีไฟเป็นการทำสงครามมีรูปแบบ ต้องประเมินกำลังทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเรา แผนการดับไฟไม่ต่างกับแผนการรบคือต้องมีเส้นทางการล่าถอย" อาสาดับไฟป่าหน้าใหม่อธิบายว่า วิธีการตีไฟของชาวบ้านจะ "ตีทางตรง" ไฟอยู่ที่ไหนก็เข้าไปปะทะโดยใช้กิ่งไม้หรือไม้กวาด ส่วนวิธีการตีไฟของเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเป็นการ "ตีทางอ้อม" ด้วยการทำแนวกันไฟเพื่อแยกเชื้อไฟออกจากไฟ-ลดทอนกำลังของพระเพลิง
ไม่ว่าใช้ยุทธวิธีไหน สมบัติ มองรูปแบบสงครามไม่ต่างจากยุค "มนุษย์ใช้ดาบและธนูต่อสู้กัน" จึงไม่แปลกหากเขาจะคิดถึงการทำ "สงครามลูกผสม" ระหว่าง ภูมิปัญญาท้องถิ่น นวัตกรรม และประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ โดยมีอากาศยานไร้พลขับ (โดรน) เป็น "ตาทิพย์" ทำหน้าที่ค้นหาพิกัดไฟป่าเพื่อปักหมุดจุดเกิดเหตุ กำหนดจุดที่อาสาจะเข้าตีไฟและคอยภัยให้ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ ทั้งดูทิศทางลม ทิศทางไฟ ความยาวแนวไฟ
"คุณอยู่ที่พื้น คุณไม่มีทางมองเห็น คุณอาจเห็นไฟ เห็นควัน แต่ถ้าดูจากโดรนจะเห็นพฤติกรรมไฟเคลียร์มาก" เขาบอก
วันที่ "กลัวมาก" แต่รอดชีวิตได้เพราะ "ตาทิพย์"
ด้วยเพราะ "โดรน-ตาทิพย์" นี่เองที่ช่วยให้ สมบัติ เอาชีวิตรอดมาได้ในวันที่เขาคิดว่าโหด-หินที่สุดวันหนึ่ง
หลังมีคำชวนจากทีมมอเตอร์ไซด์วิบากให้อาสาดับไฟกระจกเงารุดไปช่วยดับไฟป่าที่บ้านห้วยเจริญ ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมืองเชียงราย พวกเขาตอบรับอย่างไม่ลังเล เพราะเคยลุยไปดับไฟในพื้นที่ดังกล่าวมาแล้วหนหนึ่ง แม้ทีมงานที่เหลืออยู่จะถูกสัพยอกว่าเป็น "สายอ่อน" เนื่องจากทีม "สายแข็ง" ออกไปทำแนวกันไฟอีกจุดตั้งแต่เช้า อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่คนพาเข้าพื้นที่-ชี้เป้าไม่ใช่คนทีมเดียวกัน
"พวกเราตีไฟกันป๊องแป๊ง ๆ อยู่ 3 ชม. นานจนแบตเตอรีโดรนหมด จู่ ๆ ผมเห็นไฟระยะ 300 ม. และมีขี้เถ้าปลิวว่อนบนหัวเราเลย ท่าทางไม่ดีแล้ว เลย ว. แจ้งหัวหน้าศูนย์ขอให้โดรนบินมาสนับสนุนเรา เขาต้องไปล้วงเอาแบตฯ จากแท่นชาร์ทมาใส่โดรนแล้วบินมาตรงจุดที่เราอยู่ เราไม่รู้เลยว่าไฟมันใหญ่มากราว 3 กม. ลมก็มาจนเกิดควันตลบหลัง เรียกว่ามากันเป็นกองทัพเลย จึงมีคำสั่งให้พวกเราถอนกำลัง ปรากฏว่ามันเกือบจะปิดทางออกของเราแล้ว พอมอเตอร์ไซด์วิบากคันแรกออกไปก็ไปติดอยู่ที่ถนนเพราะควันตลบจนมองไม่เห็นทาง แต่โดรนเห็นว่าถ้าหลุดจากควันกลุ่มนี้ได้ก็จะหลุดทั้งหมด จึงให้ฝ่าออกไป"
วันนั้นผมยอมรับเลยว่าผมกลัว กลัวมากเลย... หัวหน้าศูนย์ต้องบนเลยนะว่าขอให้พวกเราออกไปได้ วันรุ่งขึ้นเขาต้องแวะเอาไก่ไปเซ่นเจ้าที่เลย" หลังผ่านเหตุการณ์สุดระทึก พวกเขาถกกันอย่างหนักว่าหากปราศจาก "โดรน-ตาทิพย์" ก็ไม่ควรริไปรบกับไฟ เพราะการกระโจนเข้าสู่สมรภูมิด้วยอาการ "ตาบอด" อาจทำให้พวกเขาต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ๆ
วอนอย่าตีตราชาวเขาเป็นมือเผา กับความหวังเอาชนะไฟป่า
ไม่ว่าใครคือคนจุดไม้ขีดก้านนั้น ใครคือผู้เปลี่ยนผืนป่าให้เป็นทะเลเพลิง ใครคือผู้พรากเจ้าหน้าที่รัฐ อาสาสมัคร และชาวบ้านออกจากบ้านพักอันแสนอบอุ่นไปประจันหน้าและอยู่กลางวงล้อมของไฟ แต่ สมบัติ ไม่อยากให้สังคมตีตราชาวเขาทั้งหมดว่าคือคนเผาป่า และขอให้พิจารณาและเอาผิดเป็นรายบุคคลไป
"แม้มีคนเผา แต่เขา (ชาวบ้าน) ก็คือคนกลุ่มแรกที่ออกไปดับไฟ" และ "ในช่วง 2-3 ปีนี้ที่ชาวบ้านตายเพราะเขาออกไปช่วยดับไฟในป่า แต่ก่อนเขาจะดูแลพื้นที่หมู่บ้านตัวเองเท่านั้น แต่กระบวนการจัดตั้งของรัฐ ทำให้ชาวบ้านต้องเข้าป่าลึกมาก แม้เชี่ยวชาญภูมิศาสตร์ แต่เครื่องไม้เครื่องมือที่จะช่วยเขามันไม่พอ" ในแต่ละปี มีบรรดาผู้กล้าต้องเพลี่ยงพล้ำให้แก่กองทัพไฟอยู่เนือง ๆ บางส่วนเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติภารกิจเพราะตกเขาหรือถูกไฟครอก ขณะที่บางคนเลือกสังเวยชีวิตตัวเอง
"แม้เขาจากไปจากโลกใบนี้ด้วยความพ่ายแพ้ หมดหวัง แต่การจบชีวิตของเขาได้เริ่มจุดประกายไฟให้กับผู้คนที่เฝ้ามอง คงมีใครสักคนมีคำตอบว่าไฟป่าเหล่านั้นจะดับลงได้อย่างไร.." คือข้อความบางส่วนที่ บก.ลายจุด เขียนขึ้นจากแรงบันดาลใจ "เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเชียงใหม่ฆ่าตัวตาย" เมื่อ 4 เม.ย.
เขาเห็นว่า จดหมายสั่งลาของเจ้าหน้าที่นายดังกล่าวสะท้อนข้อเท็จจริงอันเป็นข้อจำกัดของรัฐราชการไทย
"ผมคิดว่าเขาตีไฟมาหลายปี เขามีความหวัง เขาเคยเชื่อว่าไฟป่าจัดการได้ แต่โดยวัฒนธรรมองค์กรของระบบราชการ ทำให้ความฝันที่คิดว่าจัดการได้ มันจัดการไม่ได้ เขาอาจรู้สึกว่าเขาสู้ในสมรภูมิที่อย่างไรก็แพ้ และเชียงใหม่ปีนี้มีประเด็นดอยสุเทพที่มันดับได้ เพราะมันไหม้เกือบหมดแล้ว เหมือนดอยจระเข้ที่เชียงราย คือป่าไม่เหลือแล้ว"
แต่ถึงกระนั้น สมบัติกับเพื่อน ยังมีทั้งความเชื่อ-ความฝัน-ความหวังอย่างแรงกล้าว่าจะเอาชนะไฟป่าได้สักวัน หากสามารถดับไฟที่ต้นทางก่อนลุกลามข้ามหมู่บ้านและอำเภอ โดยใช้แผนที่ดาวเทียมสืบสวนย้อนหลังไปเพื่อดูทิศทางไฟ แล้วระดมสรรพกำลังเข้าโจมตีในจุดที่ไฟอ่อนกำลัง
"ทุกครั้งที่ผมดับไฟได้ ผมมักมองไปยังภูเขาที่ยังไม่ถูกไฟไหม้ เราได้ช่วยให้อากาศไม่ขุ่นมัวขึ้น และเรากำลังออกแบบนวัตกรรมการดับไฟป่าโดยที่คนธรรมดามีส่วนร่วมได้"
"ไม่เคยมีใครที่ดับไฟได้โดยไม่ถึงฝน"
ตลอดเวลากว่า 1 เดือนของการปักหลักสู้โดยไม่อาจเจรจาพักรบกับศัตรูได้ อาสาดับไฟป่ารายนี้ไม่อาจประเมินว่าพวกเขาสามารถควบคุม-จำกัดเปลวเพลิงได้มากน้อยแค่ไหน แต่บ่อยครั้งเขารู้สึกเหมือนได้สัมผัส "ชัยชนะ"
"ทุกวันที่ดับไฟได้ ผมรู้สึกแบบนั้น แต่ไฟป่าจะจบเมื่อฤดูฝนมา ไม่เคยมีใครที่ดับไฟได้โดยไม่ถึงฝน เราเพียงแต่ยันมันไว้จนฝนมา ให้ความเสียหายนั้นเกิดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้" เวลาของทะเลเพลิงใกล้หมดลง เมื่อพายุฤดูร้อนนำฝนแรกมาให้กับ จ.เชียงรายและหลายจังหวัดทั่วทั้งประเทศเมื่อ 12 เม.ย. แม้เป็นเวลาเพียง 10 นาที แต่เขายอมรับว่าดีใจ
ข้อมูลล่าสุด ณ 13 เม.ย. พบว่าไม่มีจุดความร้อนที่เชียงรายแล้ว อาสาดับไฟป่ากระจกเงาสัญญากันไว้ว่าจะไม่รามือ-วางอาวุธจนกว่าจะถึงวันฝนโปรยตามฤดูกาล ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ขุนศึกทั้งหลายจะได้กลับบ้าน
7 ประสบการณ์ใหม่ในภารกิจดับไฟป่าครั้งแรกของ บก.ลายจุด
- โรยตัว 15 ม. จากภูเขาที่มีความชันประมาณ 60 องศา เพื่อ "บรรจงฉีดน้ำด้วยความสุนทรีย์" ดับไฟที่โคนต้นไผ่ด้านล่างภูเขา
- หกล้มพลัดตกลงไปในหลุมใบไม้ที่ชาวบ้านขุดไว้ เนื้อตัวถลอกไปตามระเบียบ "อย่างผมนี่ยังเบา อย่าล้มแล้วตกเหว หรือล้มลงบนกองไฟ เป็นใช้ได้"
- ถูกผึ้งที่หนีตายจากไฟป่าต่อยแขน วันเดียวกับอาสาอีกคน
- สัมผัสได้ว่าน้ำหนักตัวลดไปหลาย กก. เพาะแก้มบางลงเยอะ แต่ "ผมไม่ได้ช่าง ผมมีปัญหากับตาช่าง ท้อใจไม่กล้าช่าง"
- เดินเท้าไกลที่สุด 2 กม./วัน "แค่นี้ผมก็จะตายแล้ว แต่อาสาคนอื่นมีเดินไป-กลับ 28 กม."
- มีเพื่อนร่วมทีมเป็นอดีตปลัดอำเภอวัย 58 ปี (อาสาที่อาวุโสสูงสุด) และนักศึกษาเทคนิคเชียงรายวัย 17 ปี (อาสาที่ละอ่อนที่สุด) หากไม่ติดโควิด-19 เขาคาดว่าจะมีอาสามาร่วมมากกว่านี้
- ได้ยิน-ได้เห็นว่ามีทหาร "หลักสิบ" ร่วมดับไฟที่ดอยจระเข้ "ถ้าจะใช้ทหารก็ต้องฝึกอบรมและติดอาวุธในการดับไฟป่าให้ทหาร นั่นจะเป็นวันที่ทหารมาช่วยดับไฟได้ ไม่ใช่นายไปรับงานมา แล้วเอาคนมาช่วยหน่อย"