รีเซต

"แบงก์ชาติ" ออกมาตรการใหม่ ห้ามโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน เน้นกลุ่มเปราะบาง หวังสกัดมิจฉาชีพหลอก

"แบงก์ชาติ" ออกมาตรการใหม่ ห้ามโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน เน้นกลุ่มเปราะบาง หวังสกัดมิจฉาชีพหลอก
TNN ช่อง16
19 สิงหาคม 2568 ( 19:26 )
12

"ธนาคารแห่งประเทศไทย" ออกมาตรการใหม่ ห้ามโอนเงินเกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน เน้นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเสี่ยง หวังสกัดมิจฉาชีพหลอก


นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เปิดเผยถึงสถานการณ์และแนวโน้มภัยทุจริตการเงินในประเทศไทย  ล่าสุดภัยจากแอปดูดเงินนับตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบัน พบว่าไม่มีจำนวนผู้เสียหายแล้ว หรือ 0 เคส แต่อย่างไรก็ดี กรณีของการถูกหลอกโอนเงินยังพบความเสียหายอยู่ โดย ณ ไตรมาสที่ 2/2568 มีมูลค่าความเสียหายราว 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 2,000 ล้านต่อเดือน ลดลงจากไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท และในเดือนกรกฎาคม 2568 สามารถระงับบัญชี 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อม้า 1.77 แสนรายชื่อ


ทั้งนี้หากดูข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนเงินสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท และหากดูธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้ามูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นบาท โอนเงินภายใน 3 นาที คิดเป็นประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย และเหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้าระบบภายใน 19-25 ชั่วโมง


อย่างไรก็ดี หากแยกตามกลุ่มอายุ จะพบว่าความเสียหายจะสูงขึ้นตามอายุ ซึ่งจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 3 ปี 3 เดือน พบว่าเฉลี่ยคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 4 แสนบาท และอายุน้อยกว่า 15 ปี แม้ว่าจำนวนเคสไม่เยอะ แต่จำนวนวงเงินค่อนข้างเยอะ ส่วนหนึ่งมาจากการผูกบัญชีกับครอบครัว 


ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายและกันเงินให้ได้เร็วขึ้น ล่าสุด ธปท.ร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย ยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling) เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 


โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักคือ 

1.จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน และ 2.จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า จากเดิมที่เคยให้โอนได้ 2 ล้านบาทต่อวัน


ทั้งนี้ การกำหนดวงเงินจะแบ่งลูกค้าเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 

1. กลุ่มลูกค้าต้องสงสัย และมีความเสี่ยง 

2. กลุ่มทั่วไป ธนาคารรู้จักและประเมินจากข้อมูลที่มีอยู่ 

3. กลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น อายุต่ำกว่า 15 ปี และกลุ่มอายุเกินกว่า 65 ปี


โดยจะมีการกำหนดวงเงินเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 

กลุ่ม S  :  วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน 

กลุ่ม M :  วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาทต่อวัน 

กลุ่ม L  :  วงเงินมากกว่า 2 แสนบาทต่อวัน

ซึ่งธนาคารจะมีการประเมินลูกค้าจากพฤติกรรม การทำธุรกรรม และการรู้จักลูกค้า (KYC) ของแต่ละคน เพื่อกำหนดวงเงินให้เหมาะสม


อย่างไรก็ดี หากลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมมากกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ ลูกค้าสามารถแจ้งกับธนาคารในการปรับเปลี่ยนวงเงิน เช่น มีความจำเป็นต้องใช้วงเงินฉุกเฉิน ธนาคารจะมีช่องทางพิเศษในการอนุมัติการใช้วงเงินภายในหลักชั่วโมงเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่ต้องการวงเงินมากกว่าที่กำหนด เนื่องจากสามารถรับผิดชอบตัวเอง กรณีนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยแจ้งธนาคารและให้เอกสารเพิ่มเติม


สำหรับมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ในส่วนของลูกค้าใหม่ที่เพิ่งสมัคร Mobile Banking ทันที และลูกค้าปัจจุบันที่ใช้ Mobile Banking อยู่แล้วให้ดำเนินการภายในสิ้นปี 2568 อย่างไรก็ดี หากธนาคารใดมีความพร้อมก็สามารถดำเนินการทันที โดยปัจจุบันมีจำนวนบัญชี Mobile Banking อยู่ที่ราว 120 ล้านบัญชี


นางสาวดารณี ย้ำว่ามาตรการนี้เกิดขึ้นเพราะไม่ต้องการให้มิจฉาชีพใช้ช่องทางการเงินในการหลอกลวงเหยื่อ จึงให้ธนาคารต่างๆ กำหนดวงเงินตามความเหมาะสม เช่น ลูกค้าใหม่ ไม่รู้จัก มีรายได้ไม่ชัดเจน อาจจะใช้ S ไม่เกิน 5 หมื่นบาท และหลังจากดูพฤติกรรม 3-6 เดือน หรือมีข้อมูลใหม่ มีการใช้สินเชื่อ อาจจะปรับเป็น M หรือ L ส่วนกลุ่มเปราะบางเด็กและผู้สูงอายุ ธนาคารอาจจะให้วงเงินสอดคล้องกับประวัติ เช่น มองว่า 5 หมื่นบาทมากเกินไป อาจจะให้ 5,000 บาท หรืออื่น ๆ ตามการพิจารณาของธนาคาร  


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง