ร้านค้ากลัวถูกเก็บภาษี ไม่กล้าเข้าร่วมคนละครึ่ง

โครงการคนละครึ่ง รอบแรกที่เริ่มในปี 2563 จนถึงปี 2568 พบว่า มีร้านค้าลงทะเบียนกว่า 1.3 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร–เครื่องดื่มและร้านขายของชำ
มีรายงานออกมาว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีเงินทุนมาหมุนเวียนในธุรกิจมากขึ้น แต่มีข่าวออกเช่นกันว่า ยอดขายของร้านค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้หลายร้านค้าถูกเก็บภาษีจากกรมสรรพากรมากขึ้น หรือบางแห่งที่ไม่เคยเสียภาษีต้องไปเสียภาษี ซึ่งต้องยอมารับว่าร้านค้าบางราย เป็นรายเล็ก รายน้อย ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อบริหารจัดการภาษีไว้ก่อน เมื่อถูกเก็บภาษี กระทบต่อธุรกิจ กระทบต่อสภาพคล่อง การไม่เสียภาษีถือว่าผิดกฎหมาย ต้องเสียค่าปรับ เงินเพิ่มมากกกว่าภาระภาษีที่จะถูกเรียบเก็บ
ในปีนี้ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส จึงหายไปกว่าครึ่ง โดยมีจำนวนเพียง 7 แสนราย ส่วนหนึ่งเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่กรมการค้าภายในดูแล มีจำนวนทั่วประเทศกว่า 150,000 แห่ง เข้าโครงการคนละครึ่งพลัส จำนวน 148,500 แห่ง หรือมากกว่า ร้อยละ 90 ของทั้งหมด ส่วนร้านอาหารธงฟ้า มีมากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ และในขณะนี้มีร้านที่เข้าร่วมแล้วกว่า 1,500 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และจะทยอยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
ในเรื่องการเก็บภาษีร้านค้าคนละครึ่ง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันมาหลายรอบ ว่า จะไม่เก็บภาษีของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัสจะถือเป็นข้อมูลลับ จะไม่มีการเปิดเผยให้บุคคลภายนอก และที่สำคัญคือจะไม่มีการส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ให้กับกรมสรรพากร ไม่ว่าจะเพื่อการตรวจสอบภาษีย้อนหลังหรือในวัตถุประสงค์อื่นใด หนึ่งในหลักการสำคัญของโครงการคนละครึ่งพลัสที่รัฐบาลตกลงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ คือ การรักษาความลับของข้อมูลผู้ประกอบการและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างเคร่งครัด
รองนายกฯ เอกนิติ ระบุว่า เข้าใจถึงความกังวลของพ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ต้องการสร้างภาระเพิ่มเติมหรือสร้างความหวาดกลัวในการเข้าสู่ระบบภาษี และขอให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการมั่นใจได้ว่า การเข้าร่วมในครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดภาระทางภาษีเพิ่มเติม หรือถูกตรวจสอบเป็นพิเศษจากหน่วยงานภาษีใด ๆ
ร้านค้าที่ยังมีน้อย ทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย สั่งการให้กระทรวงมหาดสนับสนุนและรายงานผลการดำเนินงานโครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อให้การดำเนินโครงการคนละครึ่งพลัส เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมอบหมายให้จังหวัดเร่งรัดการดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า/ผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส โดยมีข้อสั่งการ คือ
1.ให้อำเภอและขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้าในระดับพื้นที่ตำบล/ชุมชนและเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ทั่วถึงและครอบคลุมในทุกกลุ่มร้านค้า
2. ให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและอำเภอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า/ผู้ประกอบการ OTOP เข้าร่วมโครงการฯ และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน เช่น การจัดตลาดนัดสินค้า OTOP เป็นประจำทุกสัปดาห์ ณ ศาลากลางจังหวัดหรือที่ว่าการอำเภอ เป็นต้น
3. ประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มิได้มีการส่งต่อข้อมูลธุรกรรมให้กับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด
4. มอบหมายที่ทำการปกครองจังหวัดเป็นหน่วยงานในการรายงานผลการดำเนินงานการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์รายสัปดาห์ในทุกวันศุกร์ โดยให้รายงานครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ
ร้านค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 19 ธ.ค. 2568 โครงการปีนี้ยังเปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ร้านบริการนวด สปา และรถรับจ้างสาธารณะที่มีใบอนุญาตขนส่งร่วมโครงการได้
นอกจากนี้ในวันที่ 3 พ.ย. 68 ร้านค้าที่ลงทะเบียนแล้วกว่า 600,000 ราย สามารถเริ่มผูกบัญชีขายในโครงการคนละครึ่งกับแพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรี่ เพื่อขยายตลาดสู่ช่องทางออนไลน์ บางแพลตฟอร์มจะลดค่า GP จากเดิมร้อยละ 30 เหลือเพียงร้อยละ 5-7 นอกจากนี้ยังมีการแคมเปญการตลาด การให้ส่วนลด รวมถึงแพ็กเกจสนับสนุนการขาย เพื่อจูงใจร้านค้าต่างๆ ให้เข้าร่วมโครงการ
ประชาชนเริ่มใช้จ่ายในสั่งซื้ออาหาร และเครื่องดื่มในแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวรี่ ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. เป็นต้นไป
แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีร่วมคนละครึ่ง เช่น LINEMAN /Grab Food /Robinhood /ShopeeFood
ถ้าไปดูโครงการคนละครึ่งครั้งที่แล้ว มีร้านค้าเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีเกือบ 100,000 ร้าน โดยพบว่า ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการโครงการคนละครึ่งในช่วงที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นสูงสุดถึง 5 เท่า
ทางด้านคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้มีการหารือกับแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ ช้อปปี้ ไลน์แมน และแกร็บ เพื่อพูดคุยขอไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค รวมถึงป้องกันการทุจริต โดยจะมี 3 มาตรการนำมาใช้คือ
1.ปิดระบบแก้ไขเมนูของร้านค้า เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคา และหากพบผิดปกติจะปิดระบบเพื่อตรวจสอบ
2.มอบโค้ดส่วนลดค่าอาหารให้ผู้บริโภคเพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิ แ
3.ลดค่าธรรมเนียมให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อบรรเทาภาระผู้ประกอบการรายย่อย
สคบ. ได้จัดตั้ง ศูนย์แก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์เฉพาะกิจ สำหรับผู้บริโภคที่ประสบปัญหาจากการซื้อสินค้าภายใต้โครงการคนละครึ่งพลัส และเปิดช่องทางร้องเรียนพิเศษออนไลน์ เพื่อให้ดำเนินการรับเรื่องร้องทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว
พร้อมจัดทำ “Positive List” รายชื่อผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซทั่วไปที่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจาก สคบ. เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
