"อาคม"เชื่อจีดีพีไทยปีนี้บวก วาง 5 แนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานประชุม The Committee on Macroeconomic Policy, Poverty Reduction and Financing for Development ครั้งที่ 3 จัดโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ว่า กระทรวงการคลังมีการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการดำเนินนโยบายการคลังทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาวิกฤตที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และอย่างที่ทุกท่านทราบว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งรัฐบาลได้มีการดำเนินการอย่างทันท่วงทีเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และจัดสรรเงินทุนที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน แรงงาน และผู้ประกอบธุรกิจ
รัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องออกจากงานอย่างกะทันหัน หรือถูกลดค่าจ้างลง ผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือเยียวยา ในขณะเดียวกัน โครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลอย่างโครงการคนละครึ่งและการลดภาษีได้ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ รวมถึงรัฐบาลได้รักษาระดับการจ้างงานผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยตรง และการดำเนินมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาลจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
รัฐบาลได้มีการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ควบคู่กับการวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ในอนาคตไวรัสโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น และผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันในรูปแบบวิถีใหม่ เชื้อไวรัสอาจไม่ถูกกำจัดไปแต่สุดท้ายเราจะสามารถควบคุมได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งเน้น 5 แนวทางหลักเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยดังนี้
1.นโยบายทางการเงินเพื่อเยียวยาและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อให้สามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 2.การบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค โดยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลัง การบริหารระดับหนี้สาธารณะ ตลอดจนถึงการปรับปรุงระบบการเก็บภาษี และการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 3. การลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการ คุณภาพชีวิตของผู้คน และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
4.การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มั่นคง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึง ทั้งแบบสมัครใจและมีส่วนร่วม อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ และกองทุนการออมแห่งชาติ และ 5.รัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ประเทศไทยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นลบ โดยต้องทำการตรวจเชื้อก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะได้รับการตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มในช่วงนี้ ทางรัฐบาลคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ประเทศไทยจะสามารถเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้ โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ สำหรับในปี 2565 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวและกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยขยายตัวในช่วง 4.0% – 5.0% และได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง
สำหรับนโยบายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่ 4 แนวทาง ดังนี้ 1.การส่งเสริมเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ บีซีจี ซึ่งให้ความสำคัญในการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างสินค้าที่มีมูลค่าสูง คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรแก่สิ่งแวดล้อม ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการไปบ้างแล้ว อาทิ การออกพันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสังคมและเพื่อความยั่งยืน การส่งเสริมการลงทุนในยานยนต์ไฟฟ้า
2.การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาผลิตภาพทางการผลิตของประเทศ
3.การปรับเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งภาคส่วนเอกชนและรัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาปรับใช้ โดยทางรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วยบริการยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์ และการทำธุรกรรมออนไลน์กับรัฐวิสาหกิจ เพื่อลดต้นทุนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมเงินสด
และ 4.รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในระบบขนส่งมวลชน และพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด รวมถึงสนับสนุนผู้ผลิตพลังงานรายย่อย และส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากนี้ นวัตกรรมการจัดหาเงินทุนก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยอาจเริ่มจากการสนับสนุนให้เกิดการระดมทุนในโครงการหรือกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง คณะที่ปรึกษาหารือด้านการจัดหาทุน อาจจะสามารถจะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ