จีนแสดงพลังทางทหารครั้งใหญ่ ส่งสัญญาณตรงให้สหรัฐฯ ไทยต้องไปทางไหนต่อ?

การจัดแสดงแสนยานุภาพทางทหารของจีนในวันนี้ มีจุดเริ่มต้นจากในปี 2015 โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง วางหมากใหญ่ทั้งในประเทศและในเวทีโลก แนวคิดหลักของเขาคือ “ความฝันจีน” (Chinese Dream) ซึ่งเน้นการฟื้นฟูความรุ่งเรืองของชาติหลังจากศตวรรษแห่งความอัปยศ ตั้งแต่สงครามฝิ่นจนถึงการแบ่งแยกภายในประเทศ
ผศ.ดร.กิตติพศ พุทธิวนิช คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง อธิบายว่า การใช้ V-Day Parade ในปี 2015 มีนัยสำคัญทางการเมืองและประวัติศาสตร์ เพราะแม้ในปี 1945 รัฐบาลก๊กมินตั๋งจะเป็นผู้ประกาศชัยชนะ แต่ชัยชนะนั้นเกิดขึ้นจากการร่วมรบของทั้งก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ แสดงให้เห็นว่า “ไม่ว่าฝ่ายใด นี่คือชัยชนะร่วมกันของชาติจีน” การเดินสวนสนามจึงสะท้อนเจตนารมณ์การรวมชาติและการประกาศความภาคภูมิใจในชาติร่วมกัน
จีนกับตะวันตก ถือคติไม่ชนตรง แต่หาจุดแข็งใหม่
เมื่อถามถึงนัยของจีนในภูมิรัฐศาสตร์กับตะวันตก ผศ.ดร.กิตติพศมองว่า จีนไม่ได้เลือกเผชิญหน้ากับตะวันตกโดยตรงในสนามที่คู่แข่งมีความเหนือกว่า หากแต่เลือกแข่งขันในสิ่งใหม่ที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ครอบครอง เช่น เทคโนโลยีอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ ขณะเดียวกัน จีนยังต้อง “หาพวก” ผ่านการขยายพันธมิตร เพื่อไม่ให้ถูกโดดเดี่ยวบนเวทีโลก ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่เริ่มในปี 2022 สงครามที่โลกคาดว่าจะจบเร็ว แต่กลับยืดเยื้อยาวนานกว่า 3 ปีแล้ว สงครามครั้งนี้ทำให้จีนมองเห็นและถอดบทเรียนออกมาได้ 2 ประเด็นคือ 1. ต้องเร่งหาพันธมิตรเพื่อรองรับการเผชิญหน้ากับตะวันตก โดยผศ.ดร. กิตติพศ กล่าวถึงการที่จีนพยายามจับกลุ่มและผนึกกำลังกับประเทศที่จีนอาจเรียกว่า “ประเทศโลกทางใต้” (Global South) เพื่อคานอำนาจกับ “ประเทศโลกทางเหนือ” หรือโลกตะวันตกและสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้จีนยังขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ด้วยแนวคิดการกำเนิดกลุ่มอย่าง BRICS Plus และ SCO Plus เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาอาศัยกันเองมากขึ้นและพึ่งพาโลกตะวันตกให้น้อยลง ดังนั้น ในพิธีสวนสนามครั้งนี้ การที่คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือปรากฏตัวขึ้นในเวทีระดับพหุภาคีเป็นครั้งแรก ถือเป็นนัยยะสำคัญแม้ในสายตาของชาติตะวันตกจะมองคิมจองอึนว่าเป็น “รัฐอันธพาล” ก็ตาม
ประเด็นที่ 2. คือจีนต้องพัฒนากองทัพให้พร้อม หากถึงวันที่ต้องสู้รบจริง โดยจีนเรียนรู้จากสงครามโดยไม่ต้องรบเอง ต่างจากสหรัฐฯ ที่มีสงครามใหญ่แทบทุก 5 ปี จีนแทบไม่เคยเข้าสู่สงครามตรง ๆ วิธีการเรียนรู้ของจีนคือ “การเรียนรู้ทางอ้อม” ผ่านประสบการณ์ของประเทศอื่น ทั้งจากสหรัฐฯ โซเวียต รัสเซีย และล่าสุดคือยูเครน
สงครามยูเครนถูกมองว่าเป็น “สงครามสมัยใหม่” ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว แทบทุก 3–4 เดือนจะมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้น จีนแม้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่สามารถเก็บเกี่ยวบทเรียนมาวิเคราะห์และนำไปปรับใช้ จนเกิดการปฏิรูปกองทัพอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพของจีน ทั้งด้านทรัพยากร เงินทุน และความเร็วในการพัฒนา จีนจึงสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาต่อยอดได้ดีกว่าหลายประเทศ
ด้านอนาลโย กอสกุล บรรณาธิการเพจ ThaiArmedForce ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ มองว่า หนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้จีนก้าวนำตะวันตกคือเทคโนโลยีขีปนาวุธ โดยเฉพาะขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่จีนพัฒนาและทดสอบก่อนสหรัฐฯ และชาติยุโรป การเปิดเผยเทคโนโลยีนี้ผ่านการสวนสนามจึงไม่เพียงแต่เป็นการประกาศศักยภาพทางทหาร แต่ยังเป็น “เครื่องมือการทูต” ที่สร้างอิทธิพลในเวทีโลก
แม้จีนไม่สามารถมีกองกำลังประจำการทั่วโลกแบบสหรัฐฯ แต่จีนเลือกวางตำแหน่งตนเองในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น First Island Chain, Second Island Chain และพัฒนาเทคโนโลยีที่ตะวันตกละเลย เพื่อสร้างจุดแข็งในขีดความสามารถเฉพาะของตนเอง
การฝึกกับพันธมิตร แม้ไม่ได้รบจริง
นอกจากการเรียนรู้จากสงครามจริง จีนยังใช้การฝึกร่วมทางทหารเป็นเวทีศึกษาเทคโนโลยีของตะวันตก เช่น การฝึกร่วมกับปากีสถานหรือการฝึกกับไทยทั้งสามเหล่าทัพ ซึ่งไทยใช้อาวุธอเมริกัน ก็เท่ากับว่าจีนสามารถเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ เหล่านี้จากพันธมิตรได้ ยกตัวอย่างเช่น กองทัพอากาศจีนที่เคยพ่ายแพ้ต่อไทยในการฝึกทางอากาศ แต่จีนกลับนำบทเรียนไปพัฒนายุทธวิธีใหม่ ๆ จนเกิดการออกแบบเครื่องบินและจรวดรุ่นล่าสุดขึ้นมาได้
สหรัฐฯ มองจีนอย่างไร?
ในวันนี้ของการโชว์แสนยานุภาพของกองทัพจีน เมื่อมีคนถามหาว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อยู่ที่ไหน และหากเขาได้รับชมอยู่ สหรัฐฯ จะมองจีนอย่างไร?
ผศ.ดร.กิตติพศ วิเคราะห์ว่า แม้ในปีนี้จีนจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดของกำลังทางทหาร แต่สหรัฐฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ เนื่องจากมีเอกสารจากสภาคองเกรสเผยให้เห็นว่าฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ได้วาง “scenario” ไว้ล่วงหน้าแล้ว หากต้องเผชิญหน้ากับจีน เช่น การประเมินระยะยิงของขีปนาวุธจีน จำนวนที่สามารถปล่อยได้ และการจัดวางกำลังในจุดต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ เตรียมพร้อมรับมือมาโดยตลอด
เป้าหมายระยะยาวของจีน: 2027–2035–2049
โดย ผศ.ดร.กิตติพศ ชวนมองให้เข้าใจถึงสิ่งที่สหรัฐฯ คิดซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับแผนยุทธศาสตร์ของจีนที่แบ่งออกเป็น 3 เป้าหมายใหญ่ในแต่ละช่วง
1 สิงหาคม ปี 2027: ครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) จีนตั้งเป้าจัดสวนสนามครั้งใหญ่และประกาศศักยภาพทางทหารที่ “ทันสมัยสมบูรณ์แบบ” โดยเฉพาะกองกำลังใหม่ใน 4 มิติ: Aerospace, Cyber Space, และ Information Warfare
ปี 2035: จีนตั้งเป้าเข้าสู่ยุคสงครามข่าวสารและสงครามอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตั้งแต่ AI, Blockchain ไปจนถึงระบบที่อาจยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ผนวกเข้ากับการรบได้จริง
ปี 2049: ครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป้าหมายสูงสุดคือการเป็น “World Class Military” หรือกองทัพระดับโลกที่สามารถแผ่กำลังในทุกโดเมน ไม่ว่ามิติใหม่ใดๆ จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในมุมมองสหรัฐฯ แผนระยะยาวเหล่านี้คือการท้าทายต่อสถานะผู้นำโลกที่สหรัฐฯ ครอบครองอยู่
มิติการบูรณาการพลเรือน–ทหาร
นอกจากนี้ในพิธีสวนสนามครั้งนี้ ยังได้เห็นการผนวกพลังพลเรือนเข้ากับทหาร โดยการใช้สันนิบาตเยาวชนร่วมกับกองทัพในพิธีการ ซึ่งผศ.ดร.กิตติพศ มองว่า นี่ไม่ใช่เพียงการแสดงเชิงสัญลักษณ์ แต่คือกลยุทธ์สร้างความเป็นเอกภาพของชาติและเตรียมเยาวชนให้เป็นกำลังในอนาคต จุดนี้เองที่สหรัฐฯ จับตามอง เพราะแสดงให้เห็นว่าจีนไม่ได้สร้างกองทัพเพียงลำพัง แต่กำลังสร้าง “ชาติทหาร” (military nation) อย่างเป็นระบบ
อนาลโย บรรณาธิการเพจ ThaiArmedForce วิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ มองจีนทุกวัน และจีนเองก็อยากเป็นอย่างสหรัฐฯ ในมิติการรบได้ทั่วโลก ตั้งแต่แผ่นดินจนถึงอวกาศ หากจีนสามารถท้าทายสถานะของสหรัฐฯ ได้ ก็จะก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกทั้งในเชิงการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์
แต่จุดต่างที่สำคัญคือ จีนไม่ได้เพิ่มจำนวนกำลังพลมากนัก หากใช้แนวคิด “force multiplier” คือใช้เทคโนโลยีทำให้กำลังที่มีอยู่เล็กน้อยแสดงศักยภาพเทียบเท่ากองทัพขนาดใหญ่ เช่น การใช้ AI โดรน หรืออาวุธเลเซอร์ ซึ่งแม้ยังไม่สมบูรณ์ แต่จีนสามารถนำมาสาธิตในสนามจริงได้แล้ว
เทคโนโลยีที่น่าจับตา
เมื่อถามถึงหนึ่งในอาวุธยุทโธปกรณ์ที่น่าสนใจจากพิธีสวนสนามนี้ อนาลโย บรรณาธิการเพจ ThaiArmedForce กล่าวถึงโดรนและอาวุธเลเซอร์ แม้เลเซอร์ยังไม่ใช่แบบใน Star Wars แต่การใช้ลำแสงจี้เพื่อทำลายระบบตรวจจับหรือขัดขวางการทำงานของข้าศึก ถือเป็นก้าวกระโดดใหม่ที่หลายประเทศกำลังพัฒนา การที่จีนสามารถนำมาสาธิตได้ แสดงว่าจีนก้าวนำตะวันตกไปแล้วครึ่งก้าว
ไทยควรเรียนรู้อะไรจากจีน
แม้ไทยจะไม่ใช่ “ผู้เล่นรายใหญ่” บนกระดานภูมิรัฐศาสตร์โลกเหมือนจีนหรือสหรัฐฯ แต่ในยุคที่สงครามไม่ได้จำกัดแค่สมรภูมิทางกายภาพ เราก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อบทเรียนจากมหาอำนาจได้อีกต่อไป
ผศ.ดร.กิตติพศ และอนาลโย บรรณาธิการเพจ ThaiArmedForce ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ไทยควรเรียนรู้จากจีนอย่างเร่งด่วน มีอย่างน้อย 3 มิติ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับ คุณภาพมากกว่าปริมาณ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ทำได้จริง และการปรับโครงสร้างกองทัพให้พร้อมรับโลกแบบไม่มีพรมแดน
จีนเคยอาศัย “จำนวน” เป็นจุดแข็งของกองทัพ แต่ในปัจจุบัน จีนหันมาเน้น “คุณภาพ” ของอาวุธ เทคโนโลยี และยุทธศาสตร์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยังคงความได้เปรียบในด้าน “ปริมาณ” เอาไว้
ไทยเอง แม้ไม่มีทั้งคนจำนวนมากหรือทรัพยากรเท่าจีน ไทยจึงควรเลือกเส้นทางคุณภาพ มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่จำเป็นและเหมาะสมกับบริบท อย่างการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา หากเรามีเทคโนโลยีที่ดีและเหนือกว่า แนวการสู้รบก็อาจจะเปลี่ยนผลได้
นอกจากนี้ เรายังต้องให้ความสำคัญกับระบบไซเบอร์ การผลิตโดรนในประเทศ หรือระบบสื่อสารสมัยใหม่ โดยไม่พึ่งพาการนำเข้าเพียงอย่างเดียว อย่างโดรนในสงครามรัสเซีย–ยูเครนก็พิสูจน์แล้วว่า โดรนราคาถูก สามารถเปลี่ยนสมดุลในสนามรบได้ ไม่ต้องพึ่งจรวดราคาแพงหลายแสนล้าน หากสามารถผลิตโดรนติดระเบิดในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยก็สามารถป้องกันตนเองด้วยต้นทุนต่ำ
สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือ “เจตจำนงทางการเมือง” (Political View) ที่ไทยจะต้องลงทุนอย่างจริงจังในด้านความมั่นคงแบบใหม่ เพราะการรอซื้อจากต่างชาติอาจไม่ทันการณ์ และอาจไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ จีนยังมีการปฏิรูปโครงสร้างกองทัพอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านการบูรณาการทุกเหล่าทัพ และการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเฉพาะในพื้นที่ใหม่ เช่น อวกาศ ไซเบอร์ และสงครามข้อมูล
แต่กองทัพไทยยังคงโครงสร้างเดิมจากยุคสงครามเย็น อนาลโย บรรณาธิการเพจ ThaiArmedForce จึงเสนอว่า ไทยควรเร่งปรับโครงสร้างกองทัพให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมการสู้รบสมัยใหม่ โดยไม่ยึดติดกับ “กรอบเหล่าทัพ” แบบเดิมอีกต่อไป
ขณะที่ ผศ.ดร.กิตติพศ ทิ้งท้ายถึง “สามสงครามใหม่” ที่จีนได้กำหนดแนวคิดตั้งแต่ต้นปี 2000s สำหรับกองทัพ ได้แก่
สงครามจิตวิทยา (Psychological Warfare)
สงครามความเห็นสาธารณะ (Public Opinion Warfare)
นิติ-สงคราม (Legal Warfare)
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามสมัยใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ยิงปืน–ขีปนาวุธ แต่คือ การต่อสู้เพื่อควบคุมการรับรู้บนเวทีโลก ไทยเองแม้จะมีความได้เปรียบในด้านทหารในการปะทะกับกัมพูชาในอดีต แต่ แพ้ในสงครามข้อมูลและความชอบธรรมในสายตานานาชาติ นี่คือจุดที่ไทยควรเรียนรู้มากที่สุด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
