รีเซต

ทำไมกัมพูชาไม่เจรจา 4 จุดชายแดนไทย พร้อมยื่นศาลโลกตัดสิน

ทำไมกัมพูชาไม่เจรจา 4 จุดชายแดนไทย พร้อมยื่นศาลโลกตัดสิน
TNN ช่อง16
6 มิถุนายน 2568 ( 09:20 )
9

กัมพูชาประกาศไม่เจรจากับไทยใน 4 พื้นที่ชายแดน ได้แก่ ช่องบก และ 3 ปราสาทโบราณ พร้อมเดินหน้าสู่ศาลโลก หวังข้อยุติทางกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นทางการ


ทำไมกัมพูชาไม่เปิดเจรจา “4 จุดร้อน” ชายแดนกับไทย

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชากำลังเคลื่อนไปในทิศทางที่เปราะบางขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐบาลกัมพูชาประกาศไม่ขอหารือกับไทยในประเด็น 4 พื้นที่ที่อยู่ในข้อพิพาทตามแนวชายแดน ได้แก่ ช่องบก และปราสาทโบราณ 3 แห่งในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ของไทย พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าใช้กระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อหาข้อยุติแทน

การตัดสินใจเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หากแต่เป็นผลสะสมจากหลายปัจจัย ทั้งประสบการณ์ในอดีต การประเมินแนวทางทางยุทธศาสตร์ และพลวัตทางการเมืองภายในของกัมพูชาเอง

ศาลโลก คือเดิมพันที่เคยชนะมาก่อน

รัฐบาลพนมเปญไม่ได้มองศาลโลกในฐานะเพียงทางเลือกสุดท้าย แต่เป็นช่องทางที่เคยประสบความสำเร็จในการพิสูจน์สิทธิในอดีต กรณีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกมีคำตัดสินเมื่อปี 2505 และคำวินิจฉัยเพิ่มเติมเมื่อปี 2556 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนในความมั่นใจของกัมพูชาเกี่ยวกับการใช้กฎหมายระหว่างประเทศในการต่อสู้ทางดินแดน

แนวทางนี้จึงถูกหยิบมาใช้อีกครั้งในพื้นที่ที่ยังไม่มีการแบ่งเขตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณที่ทั้งสองฝ่ายมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งและการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันมายาวนาน

ปะทะที่ช่องบก ความตึงเครียดล่าสุด

เหตุปะทะระหว่างทหารบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นจุดเปราะบางที่กลับมากระตุ้นความไม่ไว้วางใจกันอีกครั้ง แม้เหตุการณ์จะสงบลงในเวลาไม่นาน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กัมพูชาเลือกจะไม่สานต่อแนวทางเจรจาแบบเดิม

พื้นที่บริเวณนี้ตั้งอยู่ในจุดที่เป็นรอยต่อของไทย ลาว และกัมพูชา ซึ่งแต่ละประเทศต่างมีมุมมองต่อเขตแดนไม่เหมือนกัน การขาดเส้นแบ่งเขตอย่างเป็นทางการจึงกลายเป็นต้นเหตุของความเสี่ยง และกัมพูชาประเมินว่าไม่ควรยึดแนวทางเดิมในการแก้ไข

การเมืองภายใน บทบาทของวาทกรรมชาตินิยม

การไม่เปิดเจรจาในช่วงเวลานี้ยังอาจเชื่อมโยงกับกระแสภายในประเทศกัมพูชา ที่อยู่ระหว่างการสร้างฐานอำนาจของผู้นำรุ่นใหม่ การยกเรื่องอธิปไตยและสิทธิในพื้นที่ชายแดนขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ ย่อมมีผลต่อการรวมพลังของสังคมและการสร้างความชอบธรรมต่อรัฐบาล

นอกจากนี้ การเลือกใช้ศาลระหว่างประเทศ ยังส่งผลให้ภาพลักษณ์ของผู้นำมีความเข้มแข็งในเวทีโลก เป็นการวางตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ว่า กัมพูชาไม่ได้เป็นฝ่ายยอมถอย หรืออยู่ภายใต้แรงกดดันจากการเจรจาที่ไม่คืบหน้า

เมื่อกลไกเดิมไม่ตอบโจทย์

การหารือภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2543 แต่ยังไม่สามารถสร้างความชัดเจนในพื้นที่พิพาทหลายจุด กัมพูชาจึงมองว่าการเดินหน้าเข้าสู่ศาลโลกคือการเปลี่ยนเวทีเพื่อให้ได้ข้อยุติที่มีผลผูกพัน และไม่อิงกับการตีความทางการเมืองหรือยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ

แม้จะเชิญไทยให้เข้าร่วมกระบวนการ แต่รัฐบาลกัมพูชาก็แสดงจุดยืนว่าพร้อมเดินหน้าเพียงฝ่ายเดียว หากไทยไม่ตอบรับข้อเสนอในระยะเวลาอันใกล้

บทสรุปของท่าทีใหม่จากพนมเปญ

4 พื้นที่ที่กำลังอยู่ในจุดเสี่ยงทางยุทธศาสตร์ คือ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ไม่ได้เป็นเพียงจุดขัดแย้งเรื่องอาณาเขต แต่เป็นสัญลักษณ์ของเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความทรงจำร่วม และความมั่นคงของทั้งสองประเทศ

การที่กัมพูชาปฏิเสธการเจรจาในห้วงเวลานี้จึงไม่ใช่เพียงเพราะความไม่ลงรอยในรายละเอียด แต่เป็นการวางเกมใหม่ในเวทีโลกที่หวังคำตอบที่มีความชัดเจนกว่าที่เคยผ่านมา

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง