ชายวางยาตัวเอง สืบพบปรึกษา ChatGPT แพทย์กังวลการเชื่อ AI มากเกินไป

ชายสหรัฐฯ วัย 60 ปี เชื่อคำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพจากแชตจีพีที (ChatGPT) จนนำไปสู่การรับประทานยาผิด ๆ วางยาตัวเอง และนำไปสู่อาการป่วยทางจิต แพทย์ชี้เป็นกรณีศึกษาว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI อาจส่งผลต่อสุขภาพได้
อาการทางจิตของผู้ป่วย
กรณีศึกษาใหม่จากรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เล่ารายละเอียดถึงชายวัย 60 ปีที่ไม่เคยมีประวัติทางจิตเวช หรือประวัติทางการแพทย์มาก่อน ได้เดินทางมาที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล โดยมีความกังวลว่าเพื่อนบ้านกำลังวางยาพิษเขา ซึ่งแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกาย แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ นอกจากอาการกระหายน้ำ อย่างไรก็ตามชายคนนี้กลับรู้สึกหวาดระแวงกังวลแม้กระทั่งน้ำที่โรงพยาบาลให้เขาดื่ม
เอกสารการศึกษาระบุว่า เมื่ออยู่ในโรงพยาบาลนานขึ้น อาการทางจิตเวชของเขาเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกของการเข้ารับการรักษา เขามีอาการหวาดระแวง และประสาทหลอน ด้านการได้ยินและการมองเห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาพยายามหลบหนีออกจากโรงพยาบาล จึงถูกกักตัว เนื่องจากมีความบกพร่องรุนแรงในการดูแลตนเอง
แพทย์สืบหาต้นเหตุของอาการ
แม้ว่าการขาดน้ำอย่างรุนแรง อาจจะไปสู่อาการเพ้อคลั่งและประสาทหลอนได้ แต่ปัญหาของชายคนนี้ลึกซึ้งกว่านั้น โดยหลังจากที่แพทย์ได้ให้การรักษาด้วยการให้น้ำเกลือและเกลือแร่ ก็พบว่ามีการขาดสารอาหารหลายชนิด รวมถึง วิตามินซี วิตามินบี12 และวิตามินบี 9
แพทย์ได้สอบถามรายละเอียดจากคนไข้เพิ่มเติม พบว่าคนไข้รับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด และยังบอกว่าช่วงนี้ผิวของเขามีปัญหาแปลก ๆ คือมีสิวขึ้นใหม่ และตุ่มแดงเล็ก ๆ ขึ้นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังนอนไม่หลับ มีอาการอ่อนเพลีย รวมถึงมีอาการ อะแท็กเซีย (Ataxia) หรือก็คือเสียการทรงตัว และมีปัญหาในการพูดหรือกลืน
แพทย์รายงานว่า สาเหตุคือคนไข้เพิ่งพยายามลดปริมาณเกลือในอาหารลง เอกสารการศึกษาระบุว่า “คนไข้บอกว่า หลังจากที่อ่านผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพของโซเดียมคลอไรด์ หรือก็คือเกลือ คนไข้ก็เลยตัดสินใจ ทำการทดลองด้วยตัวเอง ในการกำจัดคลอไรด์ออกจากอาหารของเขา”
ปัญหาคือการที่คนไข้คนนี้ ไม่ได้จะกำจัดแค่โซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือแกงเท่านั้น แต่ต้องการจะกำจัดลอไรด์ออกไปด้วย แพทย์อธิบายว่า “คนไข้ได้เปลี่ยนโซเดียมคลอไรด์ เป็นโซเดียมโบรไมด์ (sodium bromide) เป็นสารประกอบ มีผลึกคล้ายเกลือแกง โดยทดลองเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน ซึ่งความรู้ข้อนี้เขาได้มาจากการปรึกษากับ ChatGPT ที่บอกว่า เขาสามารถใช้โบรไมด์แทนคลอไรด์ได้”
“คลอไรด์” กับ “โบรไมด์” ใช้แทนกันได้หรือไม่ ?
ในความจริงแล้ว “โบรไมด์” สามารถใช้แทน “คลอไรด์” ได้ในบางกรณี เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำ หรือการเป็นสารหน่วงไฟ (สารเคมีที่ช่วยลดการลุกของไฟ) แต่ในอาหารมันไม่ใช่สิ่งที่แทนกันได้
ข้อมูลจากสภาข้อมูลอาหารแห่งยุโรป อธิบายว่า “คลอไรด์เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่าง มันเป็นหนึ่งในแร่ธาตุหลักที่ร่างกายของเราต้องการในปริมาณที่ค่อนข้างสูงเพื่อรักษาสุขภาพ ซึ่งเราหาคลอไรด์ได้ตามธรรมชาติในอาหารหลากหลายชนิด”
ส่วนโบรไมด์นั้นเป็นพิษ หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปัญหาผิวหนัง และอาการทางจิตเวชอื่น ๆ มากมาย ทั้งนี้ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การรับประทานโบรไมด์ปริมาณมาก เป็นสาเหตุให้เกิดโรคจิตเวช โดยในผู้ป่วยจิตเวช 12 คน จะมี 1 คนที่ป่วยจิตเวชจากการได้รับโบรไมด์ปริมาณมาก
และด้วยเหตุนี้เอง การที่ผู้ป่วยรายนี้ตัดสินใจทดลองสลับคลอไรด์กับโบรไมด์ด้วยตัวเอง เพราะเชื่อคำแนะนำของ ChatGPT ทำให้ระดับโบรไมด์ของผู้ป่วยชายวัย 60 ปีคนนี้ สูงถึง 1,700 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือก็คือหากเปรียบเทียบกับปริมาณสูงสุดที่พบในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ระดับโบรไมด์ของเขาก็จะสูงกว่า 233 เท่าเลยทีเดียว และนี่ก็คือสาเหตุของอาหารป่วยที่เกิดขึ้น
แพทย์แสดงความกังวล : การพึ่งพา AI อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ
หลังจากที่แพทย์ให้การรักษา ด้วยการปรับการรับประทานอาหาร ไม่ให้รับประทานโบรไมด์เหมือนที่เคยทำมานาน อาการของเขาก็ดีขึ้นในระยะเวลา 3 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้แสดงความกังวลต่อกรณีศึกษานี้ โดยได้เขียนในรายงานว่า “การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจมีส่วนทำให้เกิดผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์ และจากไทม์ไลน์ของกรณีศึกษานี้ ดูเหมือนว่าผู้ป่วยจะปรึกษา ChatGPT 3.5 หรือ 4.0 ว่าจะกำจัดคลอไรด์ออกจากร่างกายอย่างไร”
ทั้งนี้แม้จะไม่รู้ว่าบทสนทนาระหว่างคนไข้กับ ChatGPT เป็นอย่างไร แต่แพทย์ก็ได้ลองปรึกษา ChatGPT 3.5 โดยถามว่าสามารถแทนคลอไรด์ด้วยอะไรได้บ้าง ก็พบว่าในคำตอบของ ChatGPT ก็มีโบรไมด์อยู่ด้วยจริง ๆ และถึงแม้คำตอบของ ChatGPT จะมีส่วนที่ระบุอยู่ด้วยว่าการเลือกใช้ตามบริบทมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ให้คำเตือนด้านสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงไม่ได้สอบถามว่าทำไมผู้ใช้จึงต้องการทราบเรื่องนี้ ซึ่งปกติแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จะทำ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ที่ทำให้เราตระหนักถึงการพึ่งพาปัญญาประดิษฐ์ในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น
กรณีศึกษานี้ ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine: Clinical Cases ฉบับวันที่ 5 สิงหาคม 2025
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
