รีเซต

อายุยืน = เรื่องดี ? "ญี่ปุ่น" แบกหนัก อายุ 100 ปี พุ่งทะลัก สถิติใหม่ 99,763 คน

อายุยืน = เรื่องดี ? "ญี่ปุ่น" แบกหนัก อายุ 100 ปี พุ่งทะลัก สถิติใหม่ 99,763 คน
TNN ช่อง16
22 กันยายน 2568 ( 08:00 )
8

อายุยืน = เรื่องดี ? "ญี่ปุ่น" แบกหนัก อายุ 100 ปี พุ่งทะลักเกือบแสนคน


อายุ 100 ปี ถ้าเป็นสมัยก่อนคนคงฮือฮา แต่ดูเหมือนกว่ายุคนี้จะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น ล่าสุดมีรายงานว่ามีคนที่อายุ 100 ปี พุ่งไปเกือบหนึ่งแสนคนแล้วทั้งประเทศ สาเหตุสำคัญมาจากการพัฒนาทางการแพทย์ ทำให้คนเรายุคนี้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความสูงวัยก็เป็นปัจจัยท้าทายทั้งสำหรับส่วนบุคคลและประเทศ เพราะถ้าเราแก่ แต่เราไม่มีเงิน แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร


ประเทศญี่ปุ่น ในวันนี้มีผู้สูงอายุที่มีอายุยืนยาวเกินกว่าหนึ่งร้อยปีมากที่สุดในโลกไปแล้ว เป็นประเทศ “super-aged society” อย่างแท้จริง ล่าสุดรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ระบุว่า  ณ เดือนกันยายน 2568 ญี่ปุ่นมีประชากรอายุเกิน 100 ปี หรือที่เรียกว่า centenarians อยู่ถึง 99,763 คน ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และพุ่งทะยานแบบนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 55 แล้วด้วย 


โดยกลุ่มคนอายุร้อยนี้มีเพศหญิงครองส่วนแบ่งมากที่สุด คือ เกือบ 88%  สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผู้ที่มีอายุมากที่สุดคือ ชิเงโกะ คากาวะ หญิงชราวัย 114 ปี จากเมืองยามาโตะโคริยามะ จังหวัดนารา ขณะที่ฝ่ายชายคือ คิโยทากะ มิซูโนะ อายุ 111 ปี จากเมืองอิวาตะ จังหวัดชิซูโอกะ และส่งผลทำให้อายุเฉลี่ยของประชากรญี่ปุ่นในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 87.13 ปีสำหรับเพศหญิง และ 81.09 ปีสำหรับเพศชาย


อายุขัยที่ยืนยาวของผู้คนในญี่ปุ่น เป็นเรื่องดี ที่สะท้อนถึงความสำเร็จทางด้านการแพทย์ สาธารณสุข การดูแลสุขภาพ และคุณภาพชีวิต เป็นภาพบวกในแง่วิทยาการ และความสำเร็จของมนุษยชาติมีอายุยืนยาวขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความเป็นจริงด้วยว่า นี่คือ ความท้าทายต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างสังคม


หนึ่งในภาระใหญ่ของญี่ปุ่นตอนนี้ คือ ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศ ที่มีตัวเลขสูงกว่า 44 ล้านล้านเยน คิดเป็นประมาณ 8% ของจีดีพี และยังมีแนวโน้มพุ่งขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของบำนาญ กองทุนบำนาญแห่งชาติต้องจ่ายเงินกว่า 55 ล้านล้านเยนต่อปีเพื่อเลี้ยงดูผู้สูงวัยกว่า 36 ล้านคน  สวนทางกับจำนวนแรงงานรุ่นใหม่ที่หดตัวลง ทำให้มีการจ่ายเงินสมทบน้อยลงตามไปด้วยในทุกปี และหมายความว่าวันนี้ระบบบำนาญของญีปุ่นกำลังเผชิญภาวะไม่สมดุล 


สำนักงานสถิติระบุว่าปีที่แล้ว (ปี 2024) ญี่ปุ่นมีแรงงานลดลงกว่า 500,000 คนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มว่าภายในปี 2040 แรงงานทั้งหมดของประเทศจะหายไปมากกว่า 20% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นมีผู้มีงานทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 67.81 ล้านคน มีแรงงานผู้หญิงถึง 30.82 ล้านคน และแรงงานผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ถึง 9.3 ล้านคน  แม้จะบ่งบอกว่าคนวัยเกษียณยังคงทำงานมากขึ้น แต่ก็ไม่อาจชดเชยจำนวนแรงงานที่หายไปได้ทั้งหมด โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม เช่น การดูแลสุขภาพ ก่อสร้าง และการผลิต ที่กำลังหนักหน่วงรุนแรงขึ้น ทำให้ดัชนีผลผลิตภาคโรงงานของญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่อง  โรงงานจำนวนมากเริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ เช่น เวียดนามและอินเดีย ซึ่งมีแรงงานอายุน้อยและค่าแรงต่ำกว่า 


ส่งผลให้ตอนนี้เศรษฐกิจมหภาคของญี่ปุ่นยังคงเติบโตอย่างเชื่องช้า แม้จะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสี่ของโลก  อยู่ที่ประมาณ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่การเติบโตเฉลี่ยต่อปีก็แทบไม่เกิน 1% ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการมีประชากรที่หดตัวลงและผู้บริโภควัยสูงอายุที่ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง



รัฐบาลญี่ปุ่นปรับตัวและออกมาตรการหลากหลายเพื่อรับมือกับแรงกดดัน "สังคมสูงวัย" 


สังคมสูงวัยเป็นสิ่งที่หลายประเทศกำลังหาทางรับมืออยู่ และญี่ปุ่นก็หนึ่งในประเทศที่เฟ้นหามาตรการมารองรับหลายด้าน โดยเฉพาะภาคแรงงาน ที่ปัจจุบันนี้เน้นไปที่ผู้สูงอายุและผู้หญิง   มีการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุวัย 65 ปีขึ้นไปยังคงทำงานต่อหลังเกษียณ โดยมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและปรับเงื่อนไขบำนาญบางส่วนให้สอดคล้องกับการทำงานต่อไป  มีโปรแกรมฝึกอบรมและปรับทักษะให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานในภาคบริการหรืออุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง นอกจากนี้ยังส่งเสริมแรงงานหญิงเข้าตลาดแรงงานมากขึ้น ผ่านบริการเลี้ยงเด็กและนโยบายทำงานแบบยืดหยุ่น 


ด้านเทคโนโลยี ญี่ปุ่นลงทุนอย่างหนักในการพัฒนาหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์เพื่อทดแทนแรงงานที่หดตัว โดยเฉพาะหุ่นยนต์ช่วยดูแลผู้สูงอายุ สามารถยกผู้ป่วย ช่วยเดิน หรือแม้กระทั่งให้ความเป็นเพื่อนเพื่อลดความเหงา เทคโนโลยีนี้ยังขยายไปถึงอุตสาหกรรมการผลิตและ Smart Home ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่สามารถส่งออกไปยังประเทศอื่นที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเช่นเดียวกัน


ระบบสวัสดิการและบำนาญก็ถูกปรับปรุงให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น รัฐบาลมีการปรับเงื่อนไขบำนาญแห่งชาติและระบบประกัน Long-Term Care Insurance (LTCI) ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดูแลระยะยาวของผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อหนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้านและศูนย์กิจกรรมชุมชนเพื่อลดความเหงาและสร้างเครือข่ายช่วยเหลือภายในชุมชน


นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังปรับทิศทางนโยบายเปิดรับแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการดูแลผู้สูงอายุและก่อสร้าง พร้อมจัดโปรแกรมฝึกอบรมภาษาญี่ปุ่นและวัฒนธรรม เพื่อให้แรงงานต่างชาติสามารถทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่น 


และในขณะเดียวกันเพื่ออุดช่องโหว่ของประชากร รัฐบาลยังส่งเสริมให้เกิดการตั้งครอบครัวและเพิ่มอัตราการเกิด ด้วยเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็ก และการขยายศูนย์เลี้ยงเด็กเพื่อสนับสนุนให้ผู้หญิงกลับเข้าตลาดแรงงานเร็วขึ้น การสร้างสมดุลชีวิตการทำงานและครอบครัว (work-life balance) ช่วยให้ประชากรรุ่นใหม่สามารถวางแผนมีบุตรและเลี้ยงดูได้สะดวกขึ้น


ที่สำคัญในวิกฤติย่อมมีโอกาส ตลาดผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงอายุขนาดใหญ่มีความต้องการสินค้าและบริการเฉพาะทางมากขึ้น ทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหว เทคโนโลยีช่วยดูแลตัวเอง และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมเหล่านี้สร้างตลาดใหม่ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านเยนต่อปี 


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง