ส่องหุ้นไทย ช่วง"การเมือง"ร้อนระอุ ลงทุนตัวไหนดี เช็กเลย!

อุณหภูมิการเมืองไทยเดือด ! หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ มติ 6 ต่อ 3 ให้น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรมสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ คือ 1 ก.ค.2568 เนื่องจากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีคลิปเสียง สนทนาระหว่าง "แพทองธาร" กับ "ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ขณะที่รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหตำแหน่งต่อไป
สิ้นเสียงคำวินิจฉัยหุ้นไทยวันที่ 29 ส.ค. ปิดร่วงแตะระดับ 1,236.61 จุด ดิ่งลง 13.48 จุด หรือ -1.08% มูลค่าซื้อขาย 52,475.14 ล้านบาท หลัง “แพทองธาร” หลุดเก้าอี้นายกฯ พร้อม ครม.ทั้งคณะ ส่วนแนวโน้มทิศทางหุ้นไทยเดือนก.ย.จะเป็นอย่างไร เม็ดเงินลงทุนจะชะลอลงทุนหรือไม่จากความไม่แน่นอนทางการเมือง วันนี้ TNN Online ได้สัมภาษณ์นักวิเคราะห์ตลาดทุนจะมีความเห็นอย่างไรนั้น ตามไปส่องกันเลยค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและครม.ทั้งคณะหยุดปฎิบัติหน้าที่อาจจะเห็นภาพการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองพรรคภูมิใจไทยพร้อมปฎิบัติตามเงื่อนไขของพรรคพลังประชาชน ขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยประกาศจับมือพรรคร่วมเดิม เสนอนายกฯใหม่เร็วที่สุด ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลจะต้องได้เสียงไม่ต่ำกว่า 247 เสียง ซึ่งคาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนการโหวตนายกในเร็ววัน และถ้าสามารถตั้งนายกฯ ได้เร็วจะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 มีความต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางหุ้นไทยในเดือนก.ย.ช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองคาดว่าจะผันผวนระยะสั้น และถ้าสถานการณ์คลี่คลายผ่านพ้นไปด้วยดีในช่วง 2 เดือน SET Index จะฟื้นตัว ซึ่งจากข้อมูลในอดีตพบว่า หุ้นจะดีดปรับขึ้น 10% เช่นกรณีของ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ที่เกิดขึ้นในปี 66 ที่ศาลตัดสินให้นายพิธา หยุดปฏิบัติหน้าที่ในการเป็น ส.ส.และโหวตการเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ผ่าน หลังจากนั้น 49 วันหุ้นขึ้น 5.7%
จากนั้นวันที่ 14 ส.ค. 67 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ "เศรษฐา ทวีสิน" พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปมตั้ง "พิชิต ชื่นบาน" เป็นรัฐมนตรี หลังจากนั้น 66 วันหุ้นขึ้น 14.8% เนื่องจากมีความชัดเจนด้านการเมือง
ซึ่งถ้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหุ้นที่น่าจะตอบรับได้ดีคือหุ้น STECON, STPI แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หุ้นที่ได้รับประโยชน์คือ BEM, BTS, ADVANC,SC,SIRI
อย่างไรก็ตาม ภาพการลงทุนในเดือนก.ย. ต้องพิถีพิถันมากขึ้น เนื่องจาก สถิติตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เดือน ก.ย. เป็นเดือนที่ค่าเฉลี่ยหุ้นโลกปรับตัวลง 1.9% ลงแรงสุดใน 12 เดือน เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลง 2.5% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยลง 1.2% ดังนั้นมองว่าภาพกระแสการขายทำกำไรที่มักเกิดในเดือน ก.ย. และการเมืองในประเทศยังกดดันหุ้นไทยคล้ายในอดีต
หากดูการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยเทียบกับเพื่อนบ้านในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) พบว่า ฟันด์โฟล์ไหลออกตลาดหุ้นอินเดียมากสุด 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เกาหลีใต้ 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไทย 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปินส์ 680 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนดัชนีหุ้นไทยช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาร่วงมากสุดในภูมิภาค โดยดัชนีปรับตัวลง 11% ฟิลิปปินส์ลง 6% ขณะที่เวียดนามบวก 33% เกาหลีใต้บวก 33% อินโดนีเซีย 11% และอินเดียบวก 13%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าอาจจะผันผวน โดยปัจจัยลบที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้าคือ การเคลื่อนไหวสถานการณ์ทางการเมือง ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ คาดว่าต่ำกว่า 7 หมื่นตำแหน่ง
ส่วนปัจจัยบวกมีทั้งศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ชี้ ภาษีส่วนใหญ่ของทรัมป์ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” และหากภาพการเมืองในประเทศมีความชัดเจน คาดว่าจะส่งผลให้ดัชนีน่าจะดีดฟื้นตัวขึ้น ประเมินแนวรับแรกที่ 1,230 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,200 จุด แนวต้านแรกที่ 1,260 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,280 จุด
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ลดความผันผวนจากปัจจัยการเมืองในประทศ
ฝั่ง“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า นักลงทุนรอดูสถานการณ์การเมืองว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการสรรหานายกฯคนใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์ จะสร้าง Sentiment บวกต่อตลาด และงบปี 69 และคาดว่าจะเกิดการเลือกตั้งในระยะ 6-9 เดือนข้างหน้า เนื่องจากรัฐบาลอยู่ต่อไม่นานส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,220–1,270 จุด แนะนำหุ้น หุ้น Domestic เพราะถูกกดดันระยะสั้น แต่ Global Play / Export / Energy / Infra Tech (PTTGC, IVL, PTT, TOP, ADVANC, GULF, GPSC) จะโดดเด่น
ทั้งนี้จากสถิติในอดีต SET Index ช่วงที่มีสถานการณ์การเมืองสำคัญ 1. อดีตนายก "ทักษิณ ชินวัตร" ประกาศยุบสภา ม.ค. - ก.พ. 2006 2. ตุลาการภิวัฒน์ (ศาลตัดสินผลการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ) พ.ค. - มิ.ย.2006 3.รัฐประหาร 19 ก.ย. 2006
4. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา 21 เม.ย. – 6 พ.ค.2011 5.น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา 8 ต.ค.2013- 3 ม.ค.2014 6. รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2014 พบว่า สถิติผลตอบแทนตลาดหุ้นไทย Maximum Drawdown หรือ ( ช่วงลดสูงสุด) เฉลี่ย - 9.2% (รอบนี้ -2.5%)
หากดูในอดีตหลังผ่านพ้นเหตุการณ์ทางการเมืองไปได้มองตลาดหุ้นจะปรับขึ้น อิงรอบ ล่าสุด คือ สิ้นเดือน พ.ค. 2014 SET อยู่บริเวณ 1,415 จุด และปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนจากนั้น และเริ่มออกข้าง ปรับขึ้นรวม 12.4%
ส่วนทิศทางหุ้นไทยเดือนก.ย. คาด SET แกว่ง Sideways ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,280 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,295 จุด แนวรับแรก 1,230 จุด 1,200 จุด ( กรณีเลวร้ายหรือ Worst-case 1,180 จุด) โดยตลาดรอพัฒนาการการเมืองภายใน หลังศาลวินิจฉัยน.ส. แพทองธาร ชินวัตร ขาดคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ซึ่งทิศทางตลาดขึ้นกับระยะเวลาการหาข้อสรุปนายกฯและการแต่งตั้งครม.ชุดใหม่
ด้านกลยุทธ์การลงทุนให้สลับไปลงทุน หุ้น Global Plays ที่มีปัจจัยเร่ง อาทิ China Plays อิงสหรัฐฯ – จีนเตรียมเจรจาการค้าต้นสัปดาห์หน้า หุ้นดอกเบี้ยขาลงที่ตลาดให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ทั้งภายนอก คาดฝั่งสหรัฐฯ ยังให้น้ำหนักโอกาส Fed ลดดอกเบี้ย จากความเสี่ยงภาคแรงงาน ขณะที่ภายในรอยต่อการเมืองอาจก่อให้เกิด Downside เศรษฐกิจ (สื่อสาร ไฟฟ้า) และหุ้น Defensive ร.พ. ที่เริ่มมีปัจจัยเร่งจาก คนไข้ชาวคูเวตเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม คงมุมมอง SET มีแรงขับเคลื่อนจากการกลับสถานะหุ้น (Re-rating) ภาพหลักยังอยู่ที่สหรัฐฯอยู่ในช่วงเศรษฐกิจคลายตัวลง เริ่มมีสัญญาณอ่อนลงในหลายจุด อาทิ การจ้างงาน การบริโภค และเป็นปัจจัยต่อคาดการณ์โอกาสที่จะเห็นเฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือน ก.ย. ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อน แต่เป็นปัจจัยหนุนสกุลเงินฝั่งเอเซียแนวโน้มแข็งค่า
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่มี Premium Valuation เราประเมินเม็ดเงินบางส่วนจะยังเดินหน้าสลับกระจายความเสี่ยงสู่ EM Assets โดยแรงหนุนจะมาไทย รวมถึงปัจจัยภายในคือ การประชุม กนง. ช่วงที่เหลือของปี อีก 2 ครั้ง คาดเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งอีก 0.25% จากความเสี่ยงที่เข้ามาเพิ่มหลายส่วน จะหนุนความน่าสนใจ SET จาก Current Equity Risk Premium ที่ถ่างกว้างขึ้นจากปัจจุบัน อยู่ในโซนลงทุน > AVG + 2 S.D. ดึงดูดสภาพคล่องเพิ่มเติม
ปัจจัยบวก- ลบที่ต้องติดตาม
- 2 ก.ย. เงินเฟ้อ CPI ส.ค. 25 ของยุโรป (เบื้องต้น) ตลาดคาด +2.1%y-y
- 5ก.ย. รายงานสถานการณ์การจ้างงาน ส.ค. 25 ตลาดคาดการจ้างงานนอกภาคเกษตรระดับ 80K vs prev. 73k ตำแหน่ง โดยคาดระดับอัตราการว่างงานเพิ่มสู่ 4.3% จากที่ 4.2%
- 7 ก.ย. ติดตามการประชุม OPEC+ คาดผลประชุม OPEC+ มีแนวโน้มคงแผนการผลิตน้ำมันดิบ
- ติดตามความคืบหน้ามาตรการภาษีคุณ Trump ในส่วนของ Sectoral Tariff อาทิ ยา เซมิคอนดักเตอร์ และภาษีเท่าเทียมกับบางประเทศ ในส่วนของจีนที่ยังเป็นระดับชั่วคราว
- 11 ก.ย. คาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไป ส.ค. 25 ตลาดคาด +2.9%y-y, +0.3%m-m prev. +2.7%y-y , +0.2%m-m
- 11 ก.ย. ผลประชุมธนาคารกลางยุโรป
- 16-17 ก.ย. ติดตามผลประชุม Fed (ไทยทราบผลประชุมเช้าวันที่ 17 ก.ย.) การส่งสัญญาณเรื่องการลดดอกเบี้ยของนาย Powell ที่ Jackson Hole เมื่อ 22 ส.ค. ทำให้คาดว่า FOMC จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง0.25% สู่ระดับ 4%
- 18 ก.ย. คาด BOE จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.00% หลังจาก GDP ขยายตัวดีกว่าคาดใน 2Q25 ขณะที่เงินเฟ้อเร่งตัว y-o-y สองเดือนติดต่อกัน ทั้ง Headline และ Core CPI ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 3.8%
- 19 ก.ย. ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ คาดยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% หลังจากเงินเฟ้อเพิ่มช้าลงต่อเนื่อง โดยทั้ง Headline CPI และ Core CPI อยู่ที่ 3.1%y-o-y ในเดือน ก.ค.
- Poltiburo Meeting: ช่วงปลาย ก.ย. ติดตามกระแสตลาดน่าจะเริ่มให้น้ำหนักการประชุม Polituro ของจีนรอบใหญ่ปลายปี ซึ่งมีกำหนดการเบื้องต้นวันที่ 4 ต.ค.
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นไทยเดือน ส.ค. แนะนำหุ้นเด่น
- ADVANC ราคาเป้าหมาย 350 บาท
- TRUE ราคาเป้าหมาย 18 บาท
- GULF ราคาเป้าหมาย 59 บาท
- BDMS ราคาเป้าหมาย 33 บาท
- PTTGC ราคาเป้าหมาย 28 บาท
- IVL ราคาเป้าหมาย 22 บาท
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
