ยูโอบีชี้ธุรกิจไทยรับมือภาษีสหรัฐฯ มุ่งขยายอาเซียน-ดิจิทัล-ยั่งยืน

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจ UOB Business Outlook Study 2025 สะท้อนภาพรวมภาคธุรกิจไทยที่เร่งปรับตัวเพื่อรับมือแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาและความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานโลก ผลสำรวจชี้ว่า แม้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลงจาก 58% เหลือ 52% หลังการประกาศภาษีเมื่อเดือนเมษายน แต่ธุรกิจไทยยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ด้วยการมุ่งขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เพิ่มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น
กว่า 90% ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญปัญหาการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และ 60% ประเมินว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน 68% เตรียมเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และ 60% เห็นว่าความยั่งยืนกลายเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้น ทั้งจากแรงกดดันภายนอกและความคาดหวังของตลาด โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางที่เริ่มขยับแผน ESG และพิจารณาใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
ภายใต้ภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง ธุรกิจไทยหันมาใช้กลยุทธ์วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และเบนเป้าหมายสู่การค้าภายในภูมิภาค โดยประเทศที่เป็นเป้าหมายการขยายตลาด ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ตามด้วยจีนและเอเชียเหนือ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจตลาดและเครือข่ายพันธมิตรที่ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม
ผลสำรวจยังสะท้อนปัญหาแรงงานที่ยังคงเป็นอุปสรรคหลัก โดย 50% ของธุรกิจยังเผชิญความยากลำบากในการหาหรือรักษาบุคลากร ขณะเดียวกันการเข้ามาของ AI และความคาดหวังของแรงงานรุ่นใหม่ก็สร้างความท้าทายเพิ่มขึ้น โดยแนวทางที่ธุรกิจใช้รับมือ คือ การเพิ่มค่าตอบแทน ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และใช้ดิจิทัลเข้ามาช่วยจัดการงานภายในองค์กร
ยูโอบีระบุว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอน ธุรกิจไทยยังคงมีศักยภาพปรับตัวได้ดี และธนาคารพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยทั้งด้านการเงิน ข้อมูลเชิงลึก และเครือข่ายในภูมิภาค เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
