ราคาทองคำมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ได้หรือไม่! หลังราคาร่วง แรงหนุนจากปัจจัยอะไรบ้าง?

ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์อีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังตลาดคาดการณ์ว่า การปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐหรือ Government shutdown ที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์จะสิ้นสุดลงและส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว และการกลับมารายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาด อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้
หลังจากข้อมูล ADP Research แสดงให้เห็นว่าบริษัทในสหรัฐฯ ปลดพนักงานเฉลี่ย 11,250 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วงสี่สัปดาห์ ซึ่งตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของตลาดแรงงาน และเพิ่มโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมส่งผลดีราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 4,244.94 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา
แต่หลังจากที่ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีการลงมติเพื่อยุติการชัตดาวน์ ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ 43 วัน ด้วยการผลักดันมาตรการงบประมาณชั่วคราว เพื่อเริ่มต้นความช่วยเหลือด้านอาหารที่หยุดชะงัก จ่ายเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางหลายแสนคน และฟื้นฟูระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ ทุบราคาทองคำร่วงลง 1% ในวัน 13 พ.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงเทขายในตลาดสินทรัพย์ทั่วไปทั้งหุ้น พันธบัตร คริปโทเคอร์เรนซี ดอลลาร์ หลังรัฐบาลสหรัฐ กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง
สำหรับทิศทางทองคำในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร จะไปต่อหรือไม่ หลังจากที่ภาวะชัตดาวน์สหรัฐสิ้นสุด และยังมีแรงหนุนอะไรที่จะส่งผลบวกต่อทองคำบ้างหรือเปล่า และเมื่อราคาย่อตัวควรเข้าซื้อในช่วงไหน และขายในช่วงไหน ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก “วรุต รุ่งขํา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำดีดปรับตัวขึ้น แม้ว่าชัตดาวน์สหรัฐฯสิ้นสุดลง เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐที่ยาวนานกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลง ขณะที่การผ่านร่างมาตรการงบประมาณชั่วคราวครั้งนี้ขยายระยะเวลาการอุดหนุนไปจนถึงวันที่ 30 ม.ค.69 เท่านั้น และหลังจากนั้นเหตุการณ์ภาวะชัตดาวน์จะเกิดขึ้นมาอีก เหมือนในอดีตที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2018 ได้เกิดภาวะชัตดาวน์ถึง 3 ครั้ง แต่ในปี 2025 เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกและยาวนานกว่า 43 วัน ดังนั้นคาดว่าจะเกิดเหตุการณดังกล่าวขึ้นอีก
โดยโกลด์แมนแซคส์ คาดการณ์ว่าจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ทำให้จีดีพีในไตรมาส 4/68 หดตัวลง 1.5% ขณะที่สำนักงานงบประมาณของสภาครองเกรสออกมาระบุว่าการปิดชัตดาวน์สหรัฐทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นประมาณ 7,000-14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อก่อให้เกิดปัญหาบานปลายและกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะกลางและยาว
นอกจากนี้วาณิชธกิจขนาดใหญ่ยังประเมินว่า ราคาทองคำในปี 69 มีโอกาสทำ All Time High ใหม่ โดยธนาคารเจพีมอร์แกน เชส มองว่าในไตรมาส 4 ปี 69 ราคาทองคำ gold spot น่าจะปรับขึ้น 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนธนาคารยูบีเอสคาดว่า ทองคำจะอยู่ที่ 4,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงครึ่งปีหลังปี 69 เนื่องจากทั้ง 2 ธนาคารมองว่าทองคำยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจผันผวน
ทั้งนี้ในเรื่องความชัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ยังมีความเสี่ยง และการเข้าซื้อทองคำเก็งกำไรยังมีต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกันนักลงทุนยังมีความกังวลเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่มีการชัตดาวน์จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลข และเจ้าหน้าที่เฟดบางรายออกมาระบุว่า เมื่อไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจประกอบการพิจารณดอกเบี้ย จะให้หลับหูหลับตาลดดอกเบี้ยคงไม่ได้ ขณะที่ CME FedWatch Tool ประเมินว่า ในการประชุมเฟดเดือนธ.ค.นี้ให้น้ำหนัก 50% จะไม่ลดดอกเบี้ย และ 50 % ลดดอกเบี้ย จากเดิมที่มีสัดส่วนสูงถึง 70-80% ที่จะลดดอกเบี้ย ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นการผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ยลดลงทำให้ทองย่อตัวลงพักฐาน
โดยระยะสั้นราคาทองคำจะปรับตัวลงมา หลังจากที่ราคาขึ้นร้อนแรงมาก่อนหน้านี้ ซึ่งหากย่อตัวลงเป็นจังหวะเข้าซื้อ แนวรับแรกที่ 4,114 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 63,500 บาท ถ้ายืนอยู่จะไปต่อ แต่ถ้าหลุดแนวรับถัดไปที่ 4,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 62,350 บาท แนวต้านอยู่ที่ 4,245 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 65,100 บาท ถ้าไม่ผ่านทยอยแบ่งขายลดความเสี่ยง แต่ถ้าผ่านแนวต้านถัดไปที่ 4,278 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 65,600 บาท จากเดิมราคาสูงสุด gold spot อยู่ที่ 4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
“ในเดือนพ.ย.ราคาทองจะแกว่งขึ้นลง เพราะไม่มีปัจจัยใหม่หนุน หลังจากที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้มีแรงขายสลับกลับมาบ้าง แต่ในเดือนธ.ค.หลังเฟดยุติมาตรการคิวที และมีการประชุมเฟด 10 ธ.ค. ซึ่งต้องดูว่ามีนโยบายต่อการลดดอกเบี้ยในปี 69 อย่างไร เพื่อประเมินทิศทางทองคำในอนาคตได้ดีกว่านี้ โดยการลงทุนเน้นเก็งกำไรระยะสั้น ส่วน low ของสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,997 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และยก low ขึ้นมาได้ที่ 4,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ถ้าหลุดให้แบ่งขายถ้าไม่หลุดให้เข้าซื้อ ”
สำหรับสัปดาห์หน้าปัจจัยที่ต้องติดตามคือการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทยอยประกาศออกมา เช่น ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน PMI ภาคบริการสหรัฐฯ และเงินเฟ้อ ถ้าออกมาแย่จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ แต่หากตรงกันข้ามหากดีก็จะเป็นปัจจัยกดราคาทอง รวมถึงรายงานเฟดมินิจ เพื่อดูผลการประชุมเฟดที่ผ่านมาว่ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ย
ขณะเดียวกันต้องดูงบไตรมาส 3 ปี 68 ของ หุ้น Magnificent 7 ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ 7 แห่ง ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, Meta (Facebook), Nvidia และ Tesla เป็นหุ้นใช้ประเมินฟองสบู่ AI ถ้าออกมาดีอาจทำให้ทองย่อพักฐาน
ฝั่ง "อารีรัตน์ มุราชัย" หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ประเมินว่า ราคาทองคำในสัปดาห์หน้ายังไม่มีปัจจัยใหม่ ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะมีการเปิดเผยเมื่อไหร่ หลังจากที่ปิดมาเกือบ 1 เดือนกว่า โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ การว่างงาน โดยเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐจะเก็บข้อมูลใหม่ ไม่น่าย้อนกลับข้อมูลในช่วงที่เกิดภาวะชัตดาวน์ และถ้าเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.ไปจนถึง 5 ธ.ค. จะได้ข้อมูลประมาณ 15 วันหรือครึ่งเดือนถือว่าเป็นตัวเลขที่ตกหล่น และในการประชุมเฟด 10 ธ.ค.อาจจะไม่นำข้อมูลนี้มาใช้ในการพิจารณาว่าจะลดดอกเบี้ยลงหรือไม่
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของเฟดบางรายไม่เห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ทั้งซูซาน คอลลินส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาบอสตัน และราฟาเอล บอสทิค ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟดมาเกือบห้าปีแล้ว และไม่มีใครแตะเรื่องแรงงาน ขณะที่ FedWatch Tool ให้น้ำหนัก 50 ต่อ 50 ทั้งลดและไม่ลดดอกเบี้ย ดังนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญคือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ถ้าตัวไหนผิดเพี้ยนไปและแย่กว่าคาดบ้าง ซึ่งต้องดูสถานการณ์เป็นรายวัน เพื่อให้ทันสถานการณ์
สำหรับราคาทองคำในสัปดาห์คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์อัพ แม้ว่าราคาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะปรับตัวลง แต่ตลาดยังมีความกังวลตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะชะลอตัวลง หลังจากปิดชัตดาวน์มานานกว่า 43 วัน สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ดังนั้นต้องดูตัวเลขสำคัญที่สหรัฐฯ จะประกาศออกมา เพื่อใช้ในการตัดสินใจลดหรือไม่ลดดอกเบี้ยของเฟด
ถ้าราคาทองคำยืนอยู่ที่ระดับ 4,050-4,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 62,700-63,000 บาท เชื่อว่าจะยังไปต่อได้ แนวต้านถัดไปที่ 4,245 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 64,800 บาท หากผ่านไปได้ก็มีโอกาสไปทำจุดสูงสุดเดิม 4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 67,300 บาท แต่ถ้าหลุดอาจจะลงไปที่ 3,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 62,300 บาท ซึ่งเป็นช่วงจังหวะเข้าซื้อ โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.-14 พ.ย. ราคา gold spot ต่ำสุด อยู่ที่ 3,928 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคา gold spot สูงสุดอยู่ที่ 4,245 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งต่ำสุดอยู่ที่ 61,300 บาท ราคาทองแท่งสูงสุดอยู่ที่ 64,700 บาท ปรับขึ้นมา 3,400 บาท
“ นักลงทุนมีความหวังว่าราคาทองคำสิ้นปีจะไปแตะ 67,000 บาท จากกระแสข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีโอกาส แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง โดยราคาที่ผ่านมาราคาขึ้นลงแรง 500-1,000 บาทต่อวัน และราคาตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันขึ้นมากว่า 20,000 บาท หรือประมาณ 50% ส่วนราคาทองคำจะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้หรือไม่นั้น จะต้องมีปัจจัยบวกมาสนับสนุนเหมือนที่ผ่านมา ทั้งเรื่องเฟดลดดอกเบี้ย สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ”
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิดในปีหน้าคือ จะเกิดปัญหาชัตดาวน์อีกหรือไม่ หลังสภาครองเกรส ผ่านร่างมาตรการงบประมาณชั่วคราว ซึ่งจะขยายระยะเวลาการอุดหนุนไปจนถึงวันที่ 30 ม.ค. 69 และที่น่ากังวลคือ การทำงบประมาณขาดดุล โดยการขยับเพดานหนี้สาธารณะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในการทำชัตดาวน์ทุกครั้ง ขณะที่หนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อยู่ที่ 37 ล้านล้านดอลลาร์ และปีหน้าอาจขยับสูงถึง 40 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทองคำ
การตัดสินของศาลฎีกา กรณีที่ “ทรัมป์” ใช้กฎหมาย IEEPA เพื่อกำหนดภาษีนำเข้าในวงกว้างเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตและขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าเกินขอบเขต “ทรัมป์” ต้องคืนเงินให้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะมีผลต่อความมั่นคงด้านการคลังของสหรัฐ หนุนราคาทอง
นอกจากนี้กรณีที่ “ราฟาเอล บอสติก” ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนตา ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งเมื่อครบวาระในเดือนก.พ.ปีหน้า ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเข้ามามีอิทธิพลในองค์กรเฟดมากขึ้น ด้วยการแทรกแซงเฟดให้ลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องดูว่าใครจะเข้ามาแทน
ขณะที่ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟดจะสิ้นสุดวาระในเดือนพ.ค. 69 ต้องดูว่า “ทรัมป์” จะส่งคนเข้ามาแทนหรือไม่ รวมถึงศาลสูงสุดกำหนดไต่สวนวันที่ 21 มี.ค. คดีที่ “ทรัมป์” พยายามถอด “ลิซ่า คุก” ผู้ว่าเฟดออกจากตำแหน่งท่ามกลางความกังวลว่าการปลดเจ้าหน้าที่เฟดจะกระทบความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวล้วนมีผลต่อราคาทองคำ ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ข่าวสารต่าง ๆ ในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
