“ขยะอาหาร” ผู้ร้ายเงียบ ที่กำลังทำให้ “โลกเดือด”

ปัญหา “ขยะอาหาร” กำลังทำลายทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรของมนุษยชาติอย่างเงียบ ๆ เพราะปัญหานี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่าหลายล้านล้านบาทต่อปี แต่ยังกลายเป็นตัวการสำคัญของวิกฤตสภาพภูมิอากาศอีกด้วย
ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ทุกปีมีอาหารราว 25-30% ของผลผลิตทั่วโลก หรือราว 1,600 ล้านตัน ถูกทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ปริมาณดังกล่าวเทียบเท่ากับอาหารหนึ่งพันล้านมื้อต่อวัน ขณะเดียวกันยังมีประชากรกว่า 735 ล้านคนทั่วโลกที่ยังคงประสบภาวะขาดแคลนอาหารอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2565 มีขยะอาหารเกิดขึ้นมากถึง 1.05 พันล้านตัน โดยในจำนวนนี้มาจากครัวเรือนถึง 60% หรือ 631 ล้านตัน ภาคบริการอาหาร เช่น ร้านอาหารและโรงแรม 27% หรือ 290 ล้านตัน และภาคค้าปลีกอีก 13% หรือ 131 ล้านตัน ซึ่งสะท้อนว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในชีวิตประจำวันเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดขยะอาหาร
สหรัฐอเมริกามีสถิติการทิ้งอาหารสูงถึง 66 ล้านตันต่อปี คิดเป็นเกือบ 40% ของอาหารที่ผลิตได้ทั้งหมด และในจำนวนนี้มากกว่า 60% ถูกนำไปฝังกลบ ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทน (CH₄) ที่มีศักยภาพในการก่อภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า
นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า อาหารที่ถูกทิ้งในสหรัฐฯ ใช้น้ำจืดถึง 21% ของปริมาณน้ำที่ประเทศมี ใช้ปุ๋ยเคมี 19% ของทั้งหมด กินพื้นที่เพาะปลูกถึง 18% และครอบครอง 21% ของพื้นที่หลุมฝังกลบ หากคิดในระดับโลก การเพาะปลูกอาหารที่ไม่เคยถูกกินเลยกินพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศจีนทั้งประเทศ และใช้น้ำจืดถึงหนึ่งในสี่ของโลก
ในขณะที่หลายพื้นที่ของโลกยังประสบปัญหาความอดอยาก อาหารที่ถูกทิ้งในยุโรปเพียงอย่างเดียวสามารถเลี้ยงคนได้กว่า 200 ล้านคน ส่วนละตินอเมริกาและแอฟริกาสามารถเลี้ยงคนได้อีกแห่งละกว่า 300 ล้านคน ซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนประชากรที่กำลังขาดแคลนอาหารในปัจจุบัน หากจัดการทรัพยากรเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ โลกอาจไม่ต้องเผชิญกับความหิวโหยอีกต่อไป
ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาทิ้งอาหารในปริมาณใกล้เคียงกัน คือประมาณ 670 ล้านตัน และ 630 ล้านตันต่อปีตามลำดับ โดยมีความแตกต่างเฉลี่ยของปริมาณขยะอาหารต่อหัวเพียง 7 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการบริโภคและระบบการจัดการอาหารมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าระดับรายได้ของประเทศ
รายงานยังชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการซื้ออาหารเกินความจำเป็นจากโปรโมชั่นลดราคาในซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น “ซื้อ 1 แถม 1” หรือ “ยิ่งซื้อยิ่งคุ้ม” ทำให้ผู้บริโภคซื้อมากเกินไปและทิ้งในที่สุด นอกจากนี้ ผลสำรวจจากโครงการ Respect Food พบว่า 63% ของผู้คนทั่วโลกไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างวันหมดอายุ (Use by) กับวันควรบริโภคก่อน (Best before) ทำให้อาหารที่ยังสามารถรับประทานได้ถูกทิ้งไปโดยไม่จำเป็น
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญคือ “มาตรฐานความสวยงาม” ของอาหาร โดยในสหรัฐฯ ผลไม้และผักกว่า 50% หรือราว 60 ล้านตันถูกทิ้งเพียงเพราะรูปลักษณ์ไม่สวยพอขาย ส่วนในยุโรป ปลากว่า 40-60% ของที่จับได้ถูกโยนกลับทะเลเพราะไม่ผ่านมาตรฐานรูปลักษณ์ของซูเปอร์มาร์เก็ต
นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยทั้งหมดของโลก ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากภาคการบินเกือบ 5 เท่า หากขยะอาหารเป็นประเทศหนึ่ง มันจะเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น ในขณะเดียวกัน ประชากรโลกกว่า 735 ล้านคนยังคงหิวโหย ซึ่งสะท้อนถึงความย้อนแย้งอย่างรุนแรงของระบบอาหารโลก ที่ทั้งผลิตมากเกินไปและกระจายไม่เท่าเทียม
องค์การสหประชาชาติคาดว่า ภายในปี 2593 โลกจะต้องเพิ่มการผลิตอาหารขึ้นอีก 70% เพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงผลผลิตธัญพืชจะต้องเพิ่มจาก 2,100 ล้านตันในปัจจุบันเป็น 3,000 ล้านตันต่อปี และการผลิตเนื้อสัตว์จะต้องเพิ่มขึ้นอีกกว่า 200 ล้านตัน แต่หากไม่สามารถลดปริมาณขยะอาหารได้ก่อน การเพิ่มการผลิตอาจยิ่งสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำ พลังงาน และพื้นที่เพาะปลูก ที่กำลังถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองอยู่แล้ว
ในประเทศจีนมีอาหารกว่า 35 ล้านตัน หรือราว 6% ของอาหารที่ผลิตได้ทั้งหมดถูกทิ้งในแต่ละปี ส่วนใหญ่เกิดจากวัฒนธรรมการต้อนรับแขกที่เจ้าภาพมักสั่งอาหารมากเกินไปเพื่อแสดงน้ำใจ ซึ่งเป็นตัวอย่างของ “ขยะอาหารจากมารยาททางสังคม” ที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง
องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้ประเทศต่าง ๆ ลดปริมาณขยะอาหารต่อหัวลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 และลดการสูญเสียอาหารตลอดห่วงโซ่อาหารตั้งแต่การเก็บเกี่ยวไปจนถึงกระบวนการจำหน่าย
ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันสร้าง “เศรษฐกิจหมุนเวียนอาหาร” โดยการรีไซเคิลขยะอาหารให้กลับมาเป็นทรัพยากร เช่น การหมักปุ๋ยอินทรีย์ (Composting) ซึ่งเป็นวิธีจัดการขยะอินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน นอกจากนี้ การให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเรื่องการจัดการอาหาร การวางแผนการซื้อ และการเข้าใจฉลากวันหมดอายุอย่างถูกต้อง ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดขยะอาหารในระดับครัวเรือน
เศษอาหารทุกอย่างที่เราทิ้งไม่ใช่เพียงการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่คิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาทต่อปีเท่านั้น แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน และแรงงานมหาศาลที่อยู่เบื้องหลังการผลิตอาหารเหล่านั้น ปัญหาขยะอาหารจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความสิ้นเปลือง แต่เป็นเรื่องของ “ความรับผิดชอบร่วมกันของมนุษย์” ที่จะกำหนดทิศทางของโลกในอนาคต หากเรายังนิ่งเฉยต่อเศษอาหารในวันนี้ โลกอาจต้องจ่าย “ราคาที่แพงกว่ามื้ออาหารใด ๆ ที่เคยทิ้งไป” ในวันข้างหน้าก็เป็นได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
