[รีวิว] Lost Between The Lines เกมจีบสาวสุดน่ารัก จากค่ายเกมเล็ก ๆ
Lost Between The Lines หรือ ‘Oshi Kano’ เป็นเกม Visual Novel แนว Dating Sim พัฒนาโดยทีมเกมเล็ก ๆ จากประเทศญี่ปุ่น 5dims Inc. ที่ได้ร่วมมือกับค่าย Marvelous และนักวาดญี่ปุ่น miko (みこ) รังสรรค์เนื้อเรื่องและตัวละครสุดน่ารักออกมา ซึ่ง Oshi Kano เป็นผลงานเกมชิ้นที่สองของทีมที่พึ่งได้วางจำหน่ายให้กับมือถือ iOS, Android และ PC เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ด้วยความที่ชื่อของบทความนี้เขียนไว้ว่า ‘รีวิวเกม’ แน่นอนว่าทางเราก็ได้มีโอกาสเล่นเกมนี้เช่นกัน ซึ่งหลังจากที่เล่นจนจบก็บอกได้ว่า ทางทีมพัฒนาสามารถเขียนเนื้อเรื่องและเกมเพลย์ออกมาได้ไม่เลวสำหรับเกม Visual Novel แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม ตัวเกมก็มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ขาดหายไป โดยรวมแล้วตัวเกมจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เรามาดูกันเลยครับ!!
ก่อนอื่น!! ทางเราขอขอบคุณทางทีม 5dims Inc. สำหรับโค้ดรีวิว Lost Between The Lines ครับผม
Story
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นพระเอกของเรื่องชื่อว่า Kasuga Naoto หนุ่มมัธยมปลายผู้ได้มาพบเจอกับเพื่อนร่วมชั้นสุดน่ารักอย่าง Suzumiya Rion เด็กสาวผู้มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ (ที่ผู้เล่นจะต้องเป็นหาคำตอบว่ามันคืออะไร) โดยเริ่มเรื่องของเกมนี้ ผู้เล่นจะถูกจีบโดย Suzumiya และถูกเธอชวนออกเดตเป็นครั้งแรก ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตรักของทั้งสองสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
เกมนี้จะมาพร้อมกับตอนจบทั้งหมด 5 แบบ และจะปลดตาม Choice ต่าง ๆ ที่ผู้เล่นตัดสินใจเลือกไว้ระหว่างที่พูดกับ Suzumiya และ เหล่าตัวละครอื่น ๆ ซึ่งนอกจากฉากจบทั้ง 5 แบบ ก็มีฉากจบ Bad Ending ที่สามารถโผล่ได้ทุกเวลาหากตัดสินใจผิดหรือทำ ‘แต้มความสัมพันธ์’ ไม่ถึงเกณฑ์เช่นกัน
จากที่เล่นมา ในส่วนของเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรที่หักมุมหรือว้าวสักเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวที่ชอบ เพราะตัวเกมสามารถเขียนออกมาให้ผู้เล่นอ่านแล้วรู้สึกสนุกตามสไตล์นิยายโรแมนติกวัยเรียน แถมเนื้อเรื่องก็ยังน่าสนใจ สามารถชวนให้ผู้เล่นรู้สึกเพลินและอยากติดตามต่อจนจบ
อย่างไรก็ตามส่วนที่ไม่ชอบก็มีเหมือนกัน คงต้องบอกว่าเป็นส่วนของผลที่ได้รับหลังจากเลือก Choice พอเข้าใจได้ว่าการคำนวณตอนจบของเกมจะนับจากแต้มค่าความสัมพันธ์ที่ได้จาก Choice ต่าง ๆ ที่เราเลือก แต่ใจจริงก็อยากให้มันเปลี่ยนโครงเรื่องของบทนั้น ๆ มากกว่าเปลี่ยนบทตอบกลับของตัวละครแค่ 2-3 ประโยค และกลับเข้าบทพูดเดิมหลังจากนั้น
จากที่เล่นมา จะสังเกตได้ว่าผู้เขียนสามารถเพิ่มเหตุการณ์ให้โครงเรื่องมีความหลากหลายขึ้นได้ ยกตัวอย่าง ในจะเกมจะมีช่วงหนึ่งที่เราถูกถามว่า ‘จะพาไปเที่ยวที่ไหน?’ และระบบของเกมจะโชว์สถานที่ A,B และ C ให้ผู้เล่นได้เลือก ซึ่งในตอนนี้ผู้เขียนสามารถเพิ่มเหตุการณ์พิเศษให้พวกเขาไปที่เหล่านั้นได้ทั้งหมด 3 สถานที่ และค่อยจบเข้าโครงเรื่องเดิมก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปได้ แต่ทีมพัฒนาดันกลับเขียนออกมาแบบ… ‘ไม่ว่าคุณจะเลือกไปที่ A หรือ C หลังจากได้บทพูด 2-3 ประโยคที่ไม่เหมือนกัน ยังไงก็ต้องจบด้วยการลงเอยที่ B อยู่ดี’
Gameplay
จากที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ตัวเกมจะมี Choice ให้ผู้เล่นได้ตัดสินใจเลือกระหว่างดำเนินเรื่อง ซึ่งแต่ละตัวเลือกจะส่งผลให้ตัวละครตอบรับผู้เล่นต่างกันไป ด้วยความที่ระบบของเกมจะเก็บแต้มค่าความสัมพันธ์จาก Choice ต่าง ๆ ที่เราเลือก แต้มเหล่านี้จะถูกนำไปคำนวณให้เกมของเราจบอย่างไร ไม่ว่าจะจบแบบ Bad Ending ที่จะทำให้ผู้เล่นจบเกมก่อนที่จะถึงบทสุดท้าย หรือ Happy Ending ที่สามารถจบได้ทั้งหมด 5 แบบตามจำนวนแต้มที่เราได้จาก Choice ระหว่างเล่น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้เล่นได้ตัดสินใจเลือก Choice ที่พูดกับ Suzumiya หรือตัวละครอื่น ๆ ไปแล้ว จะไม่สามารถกลับไปเลือก Choice อื่นได้ (ถึงแม้เราจะย้อนไปอ่านได้อีกรอบก็ตาม) หากพลาดและจบที่ Bad Ending ตัวเกมจะบังคับให้เราเลือกบทที่จะเล่นใหม่หมดตั้งแต่แรก
ส่วนตัวมองว่าสร้างความท้าทายต่อผู้เล่นไม่น้อย เพราะหลังจากได้ Bad Ending ครั้งแรก ก็ทำเอาผมต้องใช้สมองนึกให้ดีอยู่หลายรอบว่าจะต้องตอบกลับอย่างไรให้ไม่พลาดอีก (จากที่เล่นมาโดน Bad Ending ไปสามรอบ ฉันควรกลับไปพิจารณาสกิลจีบสาวของตัวเองใหม่สินะ? :V)
โดยรวมแล้ว ถึงเนื้อเรื่องจะเขียนออกมาให้อ่านสบาย ๆ แต่เกมเพลย์ก็ทำให้ผู้เล่นได้ใช้สมองโฟกัสกับบทพูดของตัวละครไปด้วยเช่นกัน ส่วนตัวมองว่าท้าทายดี ถึงแม้ตัวเลือกในการตอบจะมีแค่ 3 ข้อก็ตาม แต่หากเลือกพลาดก็มีหลายจุดที่จะพาเราตก Bad Ending ได้เหมือนกัน และไหน Choice ต่าง ๆ จะส่งผลต่อตอนจบของเกมอีก แน่นอนว่าต้องเลือกแต่ละอย่างให้ถูกหากอยากได้ตอนจบที่ต้องการครับ
ส่วนการรีเพลย์เพื่อปลดล็อกตอนจบอื่น ๆ ถามว่าคุ้มค่าที่จะเล่นใหม่เพื่อปลดล็อกไหม? ส่วนตัวแล้วคิดว่าตัวเกมไม่ค่อยมีอะไรที่ชักชวนอยากให้เล่นซ้ำเท่าไหร่ โดยเหตุผลข้อแรกที่ได้กล่าวไว้ในส่วนของเนื้อเรื่อง ต่อให้เราเล่นใหม่และเลือก Choice ที่ต่างจากรอบแรก นอกจากบทพูดที่ถูกเปลี่ยนไปแค่ 2-3 ประโยค โครงเรื่องของแต่ละบทไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แน่นอนว่าผมกด Skip ข้ามอย่างไว เพราะไม่อยากอ่านเนื้อเรื่องซ้ำ ส่วนข้อที่สอง ผมได้อธิบายไว้ในส่วนของ ‘การนำเสนอ’ ด้านล่างนี้แล้วครับ
Presentation
เริ่มกันที่การนำเสนองานภาพกราฟิกของเกมนี้ โดยรวมทำออกมาได้สวยงาม ดีไซน์ของ Suzumiya ก็ออกแบบมาได้น่ารักมาก ส่วนฉากต่าง ๆ ถึงจะไม่ค่อยมีอะไรเด่นมากนัก แต่ก็ยังดีที่ทางทีมพัฒนาสามารถทำออกมาหลายฉากให้เข้ากับสถานการณ์ของเรื่อง
ต่างจากดีไซน์ของเหล่าตัวละครสมทบอย่างเพื่อนร่วมชั้นของ Kasuga และ Suzumiya ที่มีความสำคัญต่อเกมไม่แพ้กัน แต่ทางทีมพัฒนากลับใช้ภาพเงา Silhouette เป็น Sprite พวกเขาแทน ส่วนตัวอยากให้พวกเขามี Sprite ที่มาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ Suzumiya เพราะใน Oshi Kano มีแค่ Suzumiya คนเดียวที่มี Sprite มาพร้อมกับรูปร่างและหน้าตา
อีกส่วนหนึ่งที่ทางทีมพัฒนาพลาดมาก ๆ เป็นเรื่องฉาก CG ครับ ปกติแล้วเกมแนว Visual Novel จะมีอาร์ต CG ให้ผู้เล่นได้เห็นเมื่อเกิดเหตุการณ์พิเศษ แต่สำหรับเกมนี้แล้วมีแค่ 2 ภาพเอง แถมตัวเกมก็ไม่มีโหมด Gallery ให้ผู้เล่นได้ชมงานอาร์ตต่าง ๆ ของเกมย้อนหลังอีกด้วย ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ๆ
ส่วนเรื่องเสียงต่าง ๆ ในเกม เสียงเพลงประกอบโดยรวมชอบครับ ฟังแล้วรู้สึกชิลและเลือกเล่นได้เข้ากับเหตุการณ์ต่าง ๆ ดี, เสียงพากย์ของ Suzumiya น่ารักเข้ากับตัวละครมาก ยกเว้นเสียงเอฟเฟกต์หลังจากที่ผู้เล่นเลือก Choice ตอบตัวละคร ที่ได้ยินแล้วรู้สึกว่าคุณภาพไม่ค่อยได้เลย เพราะเสียงที่มาใช่นั้นไม่มีความชัด
สุดท้ายในส่วนของ UI เกม มีการออกแบบมาได้ดี ดูสะอาดตาและไม่ยุ่งยาก แต่ยังมีจุดบกพร่องอยู่ด้วยกัน 2 ครั้งขณะที่เล่น เพราะจากที่เล่นมา บทพูดบางช่วงทางทีมพัฒนาลืมแปลเป็นภาษาอังกฤษ และ มีหนึ่งช่วงที่ตัวละครพูดด้วยกัน แต่ UI ดันแสดงบริบทของพวกเขาผิดเป็นพูดกับตัวเองในใจแทน
โดยรวมแล้ว ส่วนตัวมองว่าทางทีมพัฒนาพลาดที่จะนำเสนอองค์ประกอบงานอาร์ตต่าง ๆ ให้ออกมาได้เต็มที่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ทั้งที่พวกเขามีนักวาดผู้มียอดผู้ติดตามมากกว่า 200,000 คนมาร่วมงาน และสามารถสร้างตัวละครเอกที่น่าจดจำอย่าง Suzumiya ออกมาได้ ก็อยากให้ทางทีมพัฒนาลองปรับปรุงในส่วนที่กล่าวมาให้ดีกว่านี้
Verdict
Oshi Kano ถือว่าเป็นเกม Visual Novel ที่เล่นแล้วรู้สึกสนุก แต่ถึงจะเป็นเกมที่สร้างโดยทีมเล็ก ๆ ที่พึ่งได้เข้าวงการเกมมาก็ตาม ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่ควรจะมีแต่กลับขาดหายไป หรือ สามารถทำออกมาได้ดีกว่านี้ ส่วนตัวคิดว่าในราคา 549 บาท ดูไม่ค่อยคุ้มกับคอนเทนต์ที่ได้เท่าไหร่ แต่หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้สนใจเนื้อหาที่ต้องเล่นรีเพลย์เพื่อปลดล็อกอย่างตอนจบทั้งหมด 5 แบบแล้ว จากที่ผมเล่นไปครั้งเดียวก็ใช้เวลาไปกว่า 6 ชั่วโมง (ถ้าไม่ตก Bad Ending และเล่นซ้ำก็อาจจะสั้นกว่านั้น) ก็ถือว่ายังพอได้ เพราะเนื้อเรื่องโดยรวมก็ไม่ได้แย่ เพราะมีความน่าสนใจสามารถชวนให้ผู้เล่นอยากเล่นจนจบ
ถ้าให้แนะนำก็บอกได้ว่าซื้อมาเล่นตอนลดราคาจะดีกว่า ทั้งนี้ สำหรับใครที่สนใจ Lost Between The Lines (Oshi Kano) กำลังลดราคาบน Steam อยู่ที่ 30% เหลือ 384.30 บาทครับ