รีเซต

ร้านค้าเริ่มลงทะเบียนพรุ่งนี้ สรุปเงื่อนไข "คนละครึ่งพลัส" 2568 แจกใคร-จ่ายอย่างไร

ร้านค้าเริ่มลงทะเบียนพรุ่งนี้ สรุปเงื่อนไข "คนละครึ่งพลัส" 2568 แจกใคร-จ่ายอย่างไร
TNN ช่อง16
14 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
16

คนละครึ่งปี 2568 มาแล้ว สรุปทั้งหมดที่นี่ 


“คนละครึ่งพลัส” ประจำปี 2568 กับเดิมพันไตรมาสสุดท้ายปลายปี คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยด้วยเม็ดเงินแสนล้านจากงบประมาณกว่า 66,000 ล้านบาท


โครงการคนละครึ่งพลัส โครงการของเก่าในยุคโควิด-19 ใช้ครั้งแรกในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่วันนี้กลับมาอีกครั้งภายใต้เงาของรัฐบาล 4 เดือนของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้นำกลับมาปรับใช้อีกครั้งพร้อมยกระดับหรือพลัสหลายเงื่อนไข


Timeline : ลงทะเบียน "คนละครึ่งพลัส" 


ร้านค้า : ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึง 19 ธันวาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งในปีนี้มีการขยายสิทธิให้ครอบคลุมถึงร้านค้าขนาดเล็ก นิติบุคคล ไมโคร SME และวิสาหกิจชุมชนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และยังขยายโอกาสไปถึงกลุ่มธุรกิจบริการ อย่างร้านตัดผม และแท็กซี่ รถสาธารณะ  ถือเป็นการเปิดประตูโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น และกลุ่มร้านค้าผู้เสียภาษีรายย่อย ได้เข้ามามีส่วนร่วมในมาตรการกระตุ้นการบริโภคระดับประเทศ 


ประชาชนทั่วไป : อยากใช้สิทธิ ต้องลงทะเบียนโครงการผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ระหว่างวันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 โดยจำกัดจำนวนสิทธิเพียงแค่ 20 ล้านรายเท่านั้น


สิทธิ “ฟู้ดเดลิเวอรี่ พลัส” : คือ สิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน “คนละครึ่งพลัส” ในปีนี้  เปิดให้ประชาชนใช้สั่งอาหารผ่านระบบจัดส่งอาหารหรือไรเดอร์ แต่ต้องสั่งภายในแอปฯ เป๋าตังโดยตรงเท่านั้น ซึ่้งหลังจากเปิดโครงการจะมีการเพิ่มปุ่มพิเศษขึ้นมาให้ได้เลือกกัน  และนับเป็นครั้งแรกที่โครงการภาครัฐจับมือกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ได้จริง  

กำหนดช่วงเวลาใช้สิทธิสั่งเดลิเวอรี :  ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายนถึง 31 ธันวาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00 – 21.00 น. ของทุกวัน 


กำหนดช่วงเวลาการใช้จ่ายทั่วไป : 

ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม จนถึง 31 ธันวาคม 2568 

เวลาใช้จ่าย 06.00 – 23.00 น. 

จำกัดวงเงินไม่เกิน 200 บาทต่อวัน 

*ประชาชนต้องชำระผ่าน G-Wallet บนแอปเป๋าตังเท่านั้น 

*ผู้ได้รับสิทธิต้องเริ่มใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน ไม่เช่นนั้นสิทธิจะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ


คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียน

มีสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน 

มีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีบริบูรณ์ในวันลงทะเบียน 

ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 

ไม่เคยถูกตัดสิทธิในโครงการคนละครึ่งเฟสก่อนหน้าตั้งแต่ 1-5  


ใครได้รับเงินบ้าง ? 

การแจกเงินหรือให้เงินสมทบในครั้งนี้ ถูกเรียกว่า "คนละครึ่งพลัส" เพราะว่ามีการแบ่งกลุ่มปรับสัดส่วน ระหว่างผู้ที่อยู่ในระบบภาษี กับคนทั่วไป 

ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีประมาณ 11 ล้านคน จะได้รับสิทธิแบบ “60:40” คือ ประชาชนเติมเงิน 2,000 บาท รัฐจะสมทบให้อีก 2,400 บาท 

ประชาชนทั่วไปอีกประมาณ 9 ล้านคน จะได้รับสิทธิแบบ “50:50” เติมเงิน 2,000 บาท รัฐสมทบให้อีก 2,000 บาท


กลุ่มของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  (ไม่เคยได้เข้าร่วมมาก่อนในยุคแรกที่ผ่านมา) รอบนี้ถูกนับว่าได้เข้าร่วมด้วย แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบคนละครึ่งโดยตรง เพราะรัฐบาลมองว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง อาจจะไม่มีกำลังซื้อ ดังนั้นผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 13 ล้านคน จะได้รับเงินโอนตรงเข้าสู่ระบบ โดยจ่ายเพิ่มให้อีก 850 บาทต่อเดือน รวมกับเงินเดิม 300 บาท กลายเป็น 1,150 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ หรือทำอะไรเพิ่มเติม  เพราะรัฐจะโอนวงเงินเข้าโดยอัตโนมัติ และสามารถใช้ได้ตามวงเงินที่ซื้อจริง ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและหมายความโครงการในปีนี้จะครอบคลุมประชาชนได้แทบทุกกลุ่ม




 

แม่ค้าพ่อค้ากลัวภาษีย้อนหลังจาก "คนละครึ่ง" 

คำถามสำคัญ ที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะในกลุ่มของพ่อค้าแม่ค้า หรือร้านค้าที่อยากจะเข้าร่วมโครงการ ก็คือ พอเข้าร่วมไปแล้ว กลัวว่าจะโดนเก็บภาษีย้อนหลัง ซึ่งรัฐมนตรีคลังได้ออกมายืนยันเรื่องนี้แล้วว่า ข้อมูลจะเป็นความลับ ไม่เจอปัญหาดังกล่าวแน่นอน 


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีการส่งต่อข้อมูลรายได้ของร้านค้าให้กับกรมสรรพากร ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัยและใช้เฉพาะในการบริหารจัดการโครงการเท่านั้น เพื่อให้ร้านค้าสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีย้อนหลัง โดยนายเอกนิติย้ำว่า “พ่อค้าแม่ค้าไม่ต้องกลัว ข้อมูลของทุกคนเป็นความลับ จะไม่มีการนำไปใช้ในเรื่องอื่น”


สำหรับร้านค้าที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 และผ่านเกณฑ์อยู่แล้ว ในรอบนี้ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่ เพียงเปิดแอปถุงเงินเวอร์ชันล่าสุดและกดยืนยันเข้าร่วมโครงการก็สามารถใช้งานได้ทันที ส่วนร้านค้าที่ไม่เคยร่วมหรือร่วมมานานตั้งแต่เฟส 1-4 ต้องสมัครใหม่ทั้งหมด โดยสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ หรือที่สาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ


ขั้นตอนการสมัครของร้านค้า ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสนั้น จะยึดโยงกับธนาคารกรุงไทยเป็นหลัก โดยร้านค้าจะต้องมีบัญชีธนาคารกรุงไทยและลงทะเบียนเป็นร้านค้าถุงเงินให้สำเร็จก่อน จากนั้นเตรียมบัตรประชาชนและรูปถ่ายร้านค้าเพื่อยืนยันกิจการ รวมถึงกรอกแบบฟอร์มเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ของโครงการ หากเป็นร้านค้านิติบุคคลหรือธุรกิจในรูปแบบบริษัท ต้องนำเอกสารติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม และเมื่อผ่านการอนุมัติสามารถติดต่อธนาคารกรุงไทยทุกสาขาเพื่อเปิดใช้งานสิทธิ โดยระบบจะตรวจสอบและแจ้งผลภายในสามวันทำการ 


ความหวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ผ่าน "กระตุ้นระยะสั้น"

 

นายเอกนิติ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คาดว่า โครงการนี้จะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยดันผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นราว 0.3-0.4% ในช่วงปลายปี  และย้ำว่า โครงการนี้คือเครื่องมือสำคัญที่จะพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ให้กลับมามีแรงส่งอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้กลับมาคึกคัก และช่วยเสริมสภาพคล่องแก่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ พร้อมๆกับได้ช่วยแบ่งเบาค่าครองชีพให้กับประชาชน 


สอดคล้องกับความเห็นจากหลายหน่วยงาน ที่คาดว่าคนละครึ่งพลัส จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ไม่น้อย เช่น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยรายงานล่าสุดประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่งพลัส” และ “เติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ของรัฐบาล มีแนวโน้มจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปลายปีนี้ได้บางส่วน โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์โดยตรง 


จากการประเมินของกสิกรไทย  คาดว่ามาตรการนี้อาจส่งผลให้ยอดขายค้าปลีกของไทยในไตรมาส 4 ปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 0.3% และทำให้ภาพรวมยอดค้าปลีกทั้งปีเติบโตที่ระดับ 3.1% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.8% โดยมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคหลัก เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ส่วนตัว ซึ่งถือเป็นหมวดสินค้าจำเป็นที่มีสัดส่วนยอดขายรวมกว่า 80% ของภาคค้าปลีกทั้งหมด


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่ามาตรการนี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกในช่วงปลายปี คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จากคนละครึ่งพลัส รวม 59,080 ล้านบาท และบัตรคนจน 23,000 ล้านบาท  ซึ่งจะมาช่วยผลักให้จีดีพีปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.44%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง