รีเซต

เบิกเอง ตรวจเอง โกงซ้ำ 11 ครั้ง เขย่าศรัทธาระบบราชการไทย

เบิกเอง ตรวจเอง โกงซ้ำ 11 ครั้ง เขย่าศรัทธาระบบราชการไทย
TNN ช่อง16
30 มิถุนายน 2568 ( 13:30 )
9

เบิกเอง ตรวจเอง โกงซ้ำ 11 ครั้ง คดีค่าเช่าบ้านที่เขย่าศรัทธาระบบราชการ

ในสังคมที่การทุจริตอาจแฝงตัวอยู่ในรูปแบบเรียบง่ายจนแทบไม่สะดุดตา การเบิกค่าเช่าบ้านโดยมิชอบของข้าราชการอาจถูกมองว่าเป็นเพียง “เรื่องเล็ก” ในระบบราชการขนาดใหญ่ แต่สำหรับหน่วยงานอย่างสำนักงาน ป.ป.ช. การปล่อยให้เรื่องเล็กหลุดรอด นั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของการสั่นคลอนต่อหลักธรรมาภิบาลในภาครัฐ

คดีเบิกค่าเช่าบ้านเท็จของปลัดเทศบาลในจังหวัดกาฬสินธุ์ คือกรณีศึกษาหนึ่งที่สะท้อนความซับซ้อนของการใช้อำนาจหน้าที่อย่างบิดเบี้ยว โดยบุคคลเดียวกันสวมสองบทบาท ทั้งในฐานะผู้ขอเบิก และผู้ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารตนเอง การกระทำซึ่งนำไปสู่การเบิกงบประมาณแผ่นดินอย่างไม่ชอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บทความนี้ถอดรหัสเบื้องหลังคดีดังกล่าวผ่านสายตาของ “นายนันทวัฒน์ นักษัตรจอมพล” พนักงานไต่สวนระดับสูง สังกัดสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่สืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น เพื่อพิสูจน์ว่าความผิดเล็กน้อยในสายตาบางคน อาจซุกซ่อนโครงสร้างการทุจริตที่ขยายตัวอย่างเงียบงันในระบบราชการไทย.

เริ่มต้นจากการตรวจสอบบัญชี สู่เงื่อนงำของการเบิกจ่ายอันไม่ชอบ

นายนันทวัฒน์ นักษัตรจอมพล พนักงานไต่สวนระดับสูง สำนักคดี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึง รายละเอียดของคดีเบิกค่าเช่าบ้านอันเป็นเท็จ โดยชี้ว่าคดีนี้เริ่มต้นขึ้นจากการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ภูมิภาคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี 2547 ซึ่งพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของข้าราชการในเทศบาลตำบลกมลาไสย และเทศบาลตำบลหนองแปน จังหวัดกาฬสินธุ์

การตรวจสอบฎีกาเบิกเงินจากทั้งสองเทศบาลพบว่ามีการเบิกค่าเช่าบ้านที่ปรากฏหลักฐานครบถ้วนตามระเบียบทางราชการ แต่เมื่อตรวจสอบลึกลงไปกลับพบข้อเท็จจริงว่าเอกสารหลายฉบับที่ใช้ในการเบิกจ่ายนั้นเป็นเท็จ ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนโดยสำนักงาน ป.ป.ช.

เจ้าของบ้านเช่าตัวจริง คือ ภรรยาผู้เบิก

ประเด็นสำคัญที่ป.ป.ช. ตรวจสอบพบคือ ปลัดเทศบาลผู้ถูกกล่าวหาได้อ้างว่าเช่าบ้านเลขที่หนึ่งในจังหวัดขอนแก่นจากหญิงรายหนึ่งในราคา 2,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อไต่สวนข้อเท็จจริงกลับพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของภรรยาปลัดเทศบาลเอง ซึ่งซื้อพร้อมที่ดินผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์และจดจำนองไว้เรียบร้อย พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการปลอมแปลงสถานะบ้านเช่าเพื่อเบิกงบประมาณแผ่นดิน

นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังตรวจสอบพบว่าปลัดเทศบาลได้แนบเอกสารสัญญาเช่าที่มีลายเซ็นปลอมของผู้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน รวมถึงใบเสร็จรับเงินที่ไม่เคยมีการออกจริง ขณะที่ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ให้การยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยให้บ้านใครเช่า ไม่เคยรู้จักผู้เบิก และไม่เคยได้รับเงินจำนวนใดเลยจากการเช่าบ้านนั้น

ผู้เบิกคือผู้ตรวจสอบเอง ซ้อนบทบาทผิดจริยธรรม

ความซับซ้อนของคดีนี้อยู่ที่บทบาททับซ้อนของปลัดเทศบาล ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ยื่นขอเบิกค่าเช่าบ้าน ยังดำรงตำแหน่ง “ประธานกรรมการตรวจสอบการขอรับเงินค่าเช่าบ้าน” ตามคำสั่งเทศบาลอีกด้วย

คณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยปลัดเทศบาล, นายช่างโยธา และเจ้าหน้าที่ธุรการ รวม 3 คน ซึ่งมีหน้าที่ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเช่า ตรวจสอบกรรมสิทธิ์บ้าน ความเหมาะสมของราคาค่าเช่า และตรวจสอบว่าผู้ขอเบิกพักอาศัยอยู่จริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครในคณะกรรมการลงตรวจพื้นที่จริง ทุกคนกลับลงนามรับรองว่าบ้านหลังนั้นเป็นของผู้ให้เช่าตามที่ระบุในเอกสาร ซึ่งกลายเป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด

เจตนาทุจริตอย่างเป็นระบบ 11 ครั้งซ้อน

นายนันทวัฒน์ชี้ว่า ความผิดของจำเลยรายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่มีการยื่นเบิกเงินต่อเนื่อง 11 ครั้ง ทุกครั้งจะมีการแนบเอกสารที่ปลอมแปลงข้อมูลกรรมสิทธิ์และปลอมลายมือชื่อของผู้ให้เช่า รวมทั้งมีการลงนามรับรองโดยตนเองในฐานะหัวหน้าส่วนราชการว่าการเบิกจ่ายถูกต้องตามระเบียบ

การกระทำเช่นนี้จึงเป็นความผิดซ้ำซ้อนทั้งในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และในฐานะหัวหน้าส่วนราชการผู้รับรองความถูกต้องของเอกสาร ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. มองว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตชัดเจน

หลักฐานมัดแน่น ทั้งพยานบุคคลและเอกสารจากธนาคาร

ในทางพยานหลักฐาน ป.ป.ช. ได้สอบปากคำผู้หญิงที่ถูกอ้างชื่อเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งให้การยืนยันว่าสัญญาเช่าและลายเซ็นไม่ใช่ของตน พร้อมทั้งตรวจสอบกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งออกหนังสือยืนยันว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของปลัดเทศบาลและภรรยาเอง

หลักฐานทั้งหมดจึงชี้ชัดว่าไม่มีการเช่าบ้านเกิดขึ้นจริง อีกทั้งยังมีความพยายามจัดทำเอกสารเท็จเพื่อเบิกงบประมาณของรัฐโดยมิชอบ

ผลเสียต่อระบบ และจริยธรรมราชการ

แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในคดีนี้จะอยู่ที่ 22,000 บาท แต่สำหรับนายนันทวัฒน์ เงินทุกบาทคือเงินภาษีของประชาชน และการกระทำเช่นนี้ส่งผลร้ายต่อระบบราชการในภาพรวม เพราะเมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง การตรวจสอบจากผู้ใต้บังคับบัญชาจึงแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง

นอกจากนี้ ความกลัวอำนาจที่สามารถให้คุณให้โทษในสายบังคับบัญชา อาจทำให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างไม่กล้าเปิดเผยความจริง ปล่อยให้การทุจริตดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครหยุดยั้ง

บทลงโทษจากศาล และการอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.

คดีนี้ถูกส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 โดยจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 5,000 บาท และเมื่อพิจารณาประวัติว่าไม่เคยต้องโทษมาก่อนจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 2,500 บาท และให้รอลงอาญา

อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. ได้ยื่นอุทธรณ์เพิ่มเติมในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปลัดเทศบาล เพื่อให้ศาลพิจารณาเพิ่มโทษอีก 11 กระทงตามจำนวนครั้งที่มีการเบิกโดยมิชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นพ้องว่าเป็นความผิดแยกกระทง และวินิจฉัยตามคำอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.

เปิดช่องทางแจ้งเบาะแส สร้างกลไกตรวจสอบในสังคม

ในตอนท้าย นายนันทวัฒน์กล่าวว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐพบเห็นพฤติกรรมไม่ชอบธรรม แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ก็สามารถแจ้งเบาะแสต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ได้โดยตรงผ่านสายด่วน 1205 หรือส่งเอกสารโดยไม่ระบุตัวตน เพียงแจ้งพฤติการณ์และแนบพยานหลักฐานที่เพียงพอให้สามารถดำเนินการไต่สวนต่อได้

“แม้จะเป็นเงิน 2,000 บาท แต่ถ้ามาจากการโกง นั่นไม่ใช่แค่ความเสียหายเชิงงบประมาณ แต่มันทำให้คนดีๆ ในระบบรู้สึกสิ้นหวัง และระบบราชการก็ไร้หลักยึด”

คดีนี้ จึงไม่ใช่เพียงเป็นบทเรียนของการเบิกเงินโดยมิชอบเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงรากของปัญหาที่แทรกซึมอยู่ในระบบราชการไทย เมื่อการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครกล้าท้วงติง 

ความเสียหายจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลข แต่ลุกลามไปถึงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ความเชื่อมั่นที่ถูกบั่นทอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ ความสูญเสียที่ไม่อาจตีราคาได้ และการปล่อยให้การทุจริต “เล็กน้อย” กลายเป็นเรื่องปกติ ก็คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลายทางจริยธรรมในระบบราชการโดยไม่รู้ตัว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง