ปลดล็อกกัญชา มีสิทธิ์ย้อนมาเป็นยาเสพติดหากใช้ผิดวิธี
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เผยพร้อมหาตำหรับยา และส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารส่งในและต่างประเทศ รองรับกัญชามีการปลูกได้อย่างเสรี เพราะจะมีการปลูกทั่วประเทศ ห่วงหากมีการใช้กัญชาผิดวิธี สิ่งที่ปลดล็อกไปแล้ว กัญชาอาจจะย้อนกลับมาเป็นยาเสพติดได้อีก
วันที่ 5 มี.ค.65 ดร.ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ออกมาระบุหลังการบรรยายหัวข้อ “การนำกัญชามาใช้เพื่อดูแลสุขภาพ”ในงาน“ปลดล็อก กัญชา กัญชง สร้างสุขภาพ สร้างรายได้”ที่อาคารเรียนรวม 100 ปี คณะเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ว่า
กัญชาเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของประเทศไทยมานาน มีวัฒนธรรมการใช้ในการลดปวด ช่วยทำให้กินข้าวได้ นอนหลับ ในต่างประเทศได้นำไปใช้เกี่ยวกับโรคที่ไม่ตอบสนองกับการรักษาแบบมาตรฐานที่เรามีอยู่ เช่นโรคลมชัก หรือโรคพาร์กินสัน
การมาเสวนาในวันนี้ เป็นการเตรียมการประชาชน เพราะอีกเพียง 120 วัน กัญชาก็จะถูกถอดออกจากยาเสพติดให้โทษเฉพาะตัวพืช ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ต้องการให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ การดูแลสุขภาพและเศรษฐกิจ
ดังนั้นสิ่งที่จะใช้กัญชาได้อย่างเหมาะสม ประชาชนจะต้องมีความรู้ เช่นถ้าจะปลูกไว้ใช้เอง ปลูกอย่างไร ใช้ส่วนไหนบ้าง แล้วใช้เพื่อประโยชน์อะไร แล้วต้องติดตามอะไร ถ้าไม่ดีหรือได้ผล”จะไปหาใคร”ถ้าดีแล้วทานไปต่อถึงตอนไหนถึงจะหยุด
ดร.ภญ.ผกากรอง กล่าวด้วยว่า ภายในระยะเวลาก่อนจะครบ 120 วันข้างหน้านี้ มี 2 เรื่องหลักๆ คือ 1. ถ้าจะเอากัญชามาดูแลสุขภาพโรคเบื้องต้นโรคอะไรใช้ได้ 2. คือการจะใช้กัญชาอย่างไร ให้เอามาเป็นส่วนของเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนจะเอามาใช้แปรรูปเป็นอาหาร หรือทำแปรรูปมาเป็นสมุนไพร ประชาชนต้องมีความรู้อะไรบ้าง
เช่นถ้าเราจะเอากัญชามาทำเป็นอาหาร ทั้งประเทศอาหารก็เหมือนกันหมด ดังนั้นแต่ละจังหวัดจะต้องคนหาอัตลักษณ์ ของตัวเอง แต่ถ้าเราหาสมุนไพรพื้นบ้านอื่นๆในพื้นที่มาผสม น่าจะเกิดประโยชน์ไปคนละแบบกัน
สิ่งที่เป็นห่วงเหมือน รมว.สาธารณสุขพูดไว้คือ การใช้กัญชาต้องใช้ให้ถูกวิธี ทุกสมุนไพร ต่างมีข้อจำกัดในการใช้ด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะกัญชาต้องรู้ถึงข้อจำกัดของมัน ถ้าใช้ไม่เหมาะสมแล้วเกิดปัญหา สุดท้ายกัญชาก็มีโอกาสกลับเข้าไปเป็นยาเสพติดอีกก็เป็นได้ ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันใช้ให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย