“ไข้เลือดออก” เสียชีวิตแล้ว 15 ราย ป่วยทะลุ 13,000 ใน 5 เดือน

“ไข้เลือดออก” ยังคร่าชีวิตคนไทย: ความท้าทายที่ยังไม่จบของระบบสาธารณสุขไทย
นอกจากโรคโควิด - 19 และ ไข้หวัดใหญ่แล้ว ประเทศไทยยังคงเผชิญกับโรคประจำถิ่นอย่าง “ไข้เลือดออก” ในปี 2568 นี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป้าหมายที่ท้าทายยิ่ง คือ “ลดอัตราการเสียชีวิตจากไข้เลือดออกให้เป็นศูนย์” โดยเฉพาะในช่วงวันไข้เลือดออกอาเซียน ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อาเซียนร่วมใจ สร้างอนาคตปลอดภัย ไม่ป่วยตายด้วยโรคไข้เลือดออก” ท่ามกลางความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประเทศเพื่อนบ้าน
สถานการณ์ยังน่ากังวล ผู้ป่วยทะลุ 13,000 รายใน 5 เดือน
แม้จะมีแผนและนโยบายที่เข้มข้น แต่ตัวเลขจากกรมควบคุมโรคระบุชัดว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 4 มิถุนายน 2568 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้วกว่า 13,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 15 ราย โดยผู้ป่วยกระจายอยู่ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในกลุ่มผู้เสียชีวิต ได้แก่ การใช้ยากลุ่ม NSAIDs, มีโรคประจำตัว, ไปโรงพยาบาลล่าช้า และภาวะอ้วน
ข้อมูลยังเผยว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิต มีถึง 45.5% ที่รับประทานยากลุ่ม NSAIDs ขณะเดียวกันยังพบว่า 36.4% ของผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัว และอีกจำนวนเท่ากันไปโรงพยาบาลช้า คือหลังจากเริ่มมีไข้ถึงวันที่ 4
วัคซีนมี แต่ยังเป็นทางเลือกของคนมีกำลังจ่าย
แม้ในต่างประเทศจะมีการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกอย่างแพร่หลาย แต่ในประเทศไทย วัคซีนชนิดนี้ยังไม่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิการรักษาขั้นพื้นฐาน โดยต้องเสียค่าใช้จ่ายเองประมาณหลายพันบาท และต้องฉีดครบ 2 เข็ม ทำให้ผู้มีรายได้น้อยยังเข้าไม่ถึงโอกาสในการป้องกัน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพในการลดการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 80 – 90% ซึ่งถือเป็นตัวช่วยที่สำคัญ แต่หากยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการผลักดันวัคซีนเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพ อัตราการเสียชีวิตอาจยังคงดำเนินต่อไป
มาตรการเชิงรุก: หวังพลิกสถานการณ์ในปี 2568
ปีนี้ กรมควบคุมโรคตั้งเป้าควบคุมผู้ป่วยไข้เลือดออกไม่เกิน 70,000 ราย และอัตราการเสียชีวิตไม่เกิน 0.09% ผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
- ระบบพยากรณ์และแจ้งเตือนล่วงหน้า
- ช่องทางด่วนในสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยสงสัย
- การใช้ชุดตรวจวินิจฉัยรวดเร็ว
- การส่งเสริมพื้นที่ปลอดลูกน้ำยุงลาย เช่น “โรงงานปลอดไข้เลือดออก”
สำหรับอาการที่พบบ่อยในไข้เลือดออก คือไข้สูงลอย เกิน 2 วัน , อ่อนเพลีย , ปวดศีรษะ มีจุด แดงเล็กๆ ขึ้นตามตัว , คลื่นไส้อาเจียน , ข้อควรระวังเมื่อมีอาการดังกล่าว หรือ มีไข้ 2 วันแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์และห้ามซื้อยาลดไข้หรือแก้ปวดกลุ่มเนเสด ( nsaids ) กินเอง เช่น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน จะทำให้ผู้ป่วยมีเลือดออกมากและอาการหนักยิ่งขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
