รีเซต

LALINคุมต้นทุนอัพมาร์จิ้น ลุยเปิดโครงการปั๊มยอด

LALINคุมต้นทุนอัพมาร์จิ้น ลุยเปิดโครงการปั๊มยอด
ทันหุ้น
27 พฤษภาคม 2565 ( 09:38 )
100
LALINคุมต้นทุนอัพมาร์จิ้น ลุยเปิดโครงการปั๊มยอด

#LALIN  #ทันหุ้น – LALIN ทิศทางไตรมาส 2/2565 เดินหน้ารับรู้รายได้ต่อเนื่อง เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มไตรมาส 2 – 3 อีก 4 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาท  คงเป้ายอดขายปี 2565 โต 8,500 ล้านบาท เเละยอดโอน 7,200 ล้านบาท ด้านค่าก่อสร้างปรับขึ้นสูงยันไม่กระทบจากการล็อกราคาวัสดุทั้งปี แถมคุมเข้มต้นทุนอัพมาร์จิ้น มั่นใจบริหารจัดการได้

 

นายเสรี สินธุอัสว์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า บริษัทยัง คงเป้ายอดขายปี 2565 ไว้ที่ 8,500 ล้านบาท เเละยอดโอนจำนวน 7,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตจากปีก่อนประมาณ 10% ด้านเเนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2565 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากไตรมาส 1/2565 เเละเทียบจากปีช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นเดียวกัน

 

โดยไตรมาสที่ 1/2565 บริษัทสามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 1,586 ล้านบาท ขยายตัว 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  รวมทั้งยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีในสภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก  โดยมีกำไรสุทธิที่ 328 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3%

 

ทยอยเปิดโครงการ

 

ในช่วง 5 เดือนเเรกของปี 2565 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปจำนวน 5 โครงการ แบ่งออกเป็นโครงการทาวน์โฮม 2 โครงการ เเละโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,520 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเตรียมจะเปิดโครงการใหม่อีกจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงไตรมาสที่ 3/2565 คาดว่าภายในปี 2565 บริษัทจะสามารถเปิดโครงการทั้งหมดได้ราว 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท

 

สำหรับในปี 2565  บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดโครงการทั้งสิ้น 10 - 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยเปิดเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี และนอกจากนี้บริษัทมีโครงการที่รอรับรู้รายได้ (Backlog)ณ สิ้นปีไตรมาสที่ 1/2565 ราว 1,400 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ของปีนี้

 

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้กระจายกลุ่มราคาบ้านให้มีความครอบคลุมตลาด จากเดิมที่บริษัทจะบ้านทาวน์โฮม 2 - 2.5 ล้านบาท เเละล่าสุดได้เพิ่มแบรนด์ ‎ไลโอ เพรสทีจ ซึ่งเป็นทาวน์โฮม ระดับพรีเมียม ซึ่งมีราคาประมาณ 2.5 -3 ล้านบาท เเละมีบ้านเดี่ยวที่ระดับราคาตั้งเเต่ 3 -6 ล้านบาท , 5- 8 ล้านบาท เเละ 8- 12 ล้านบาท

 

คุมต้นทุนก่อสร้าง

 

สำหรับต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นบริษัทได้พยายามบริหารจัดการต้นทุนต่อเนื่องมาโดยตลอดจากการล็อกราคาวัสดุก่อสร้างทั้งปี และต้นทุนเหล็ก รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนอื่นๆ ซึ่งทำให้อัตรากำไรอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด ส่วนการขยับราคาขาย ก็ต้องพิจารณาตามพื้นที่เป็นทำเลที่เหมาะสม แต่บริษัทยังไม่ได้มีการปรับราคาขายเหมือนผู้ประกอบการอสังหารายอื่นเนื่องจากสามารถบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี

 

ปัจจุบันสินค้าคงเหลือของบริษัทอยู่ที่ 9,986.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงสิ้นปี 2564 ประมาณ 1% ส่งผลให้ภาพรวมสินทรัพย์ของบริษัทในช่วง ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2565 อยู่ที่ 13,619.5 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงิน ก่อนหน้าช่วงก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี เพื่อล็อกต้นทุนดอกเบี้ยไปแล้วจำนวน 500 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 3.2% โดยบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุม มีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย รวมถึงมีวงเงินสำรองที่ยังไม่เบิกใช้อีกจำนวนมาก

 

เเละบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นไตรมาส 1ปี 2565 เพียง 0.59 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 1.4 เท่า นอกจากนี้หากพิจารณาที่ตัวอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) จะอยู่ในระดับ 0.21 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และความพร้อมในการขยายธุรกิจโดยไม่ติดปัญหาสภาพคล่องได้เป็นอย่างดี

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง