มหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 บทเรียนจากภัยพิบัติที่ไม่อาจมองข้าม

จากฝนตกหนักสู่จุดสูงสุดของหายนะ
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่นี้คือการประกาศเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาในช่วงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเตือนว่า ในช่วงวันที่ 18-23 พฤศจิกายน ภาคใต้หลายพื้นที่จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การแจ้งเตือนดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลังว่าเป็นการใช้ "ภาษาทางการ" ที่จำเจและเป็นมาตรฐาน การใช้ภาษาที่ไม่ได้มีการยกระดับความรุนแรงของถ้อยคำเตือนภัยอย่างชัดเจน ทำให้หน่วยงานปฏิบัติการและสาธารณชนไม่สามารถแยกแยะความรุนแรงของภัยพิบัติครั้งนี้ออกจากสถานการณ์ฝนตกหนักตามฤดูกาลปกติได้ นี่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างเชิงนโยบายในการยกระดับการเตือนภัย (Policy Gap in Warning Escalation) การเตือนภัยที่ขาดการกำหนดระดับภัยคุกคามชีวิต (เช่น การกำหนดระดับสีแดง หรือ 'ภัยคุกคามถึงชีวิต') ทำให้ประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป การเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพและการจัดการฉุกเฉินจึงไม่ถูกริเริ่มอย่างเต็มที่ตามที่ควรจะเป็นสำหรับภัยพิบัติที่กำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของพื้นที่
หลังจากวันที่ 18 พฤศจิกายน ปริมาณฝนที่ตกหนักตามการคาดการณ์ก็เริ่มเพิ่มความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 19 พฤศจิกายน มีรายงานว่าหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงได้ปกคลุมภาคใต้ ทำให้ฝนตกหนักและมีการติดตามระดับน้ำถี่ขึ้น การขยายตัวของพื้นที่น้ำท่วมจากพื้นที่ต้นน้ำและพื้นที่ลาดเชิงเขาเข้าสู่เขตเศรษฐกิจของอำเภอหาดใหญ่เป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ระดับน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และการอพยพเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก ลากยาวตั้งแต่ช่วงวันที่ 19-25 พ.ย.68
หลังวันที่ 27 พฤศจิกายน ระดับน้ำเริ่มมีแนวโน้มลดลงในหลายพื้นที่ แม้ว่าในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ณ เวลา 06.00 น. สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ยังคงดำเนินอยู่ แต่ความรุนแรงก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ณ เวลา 06.00 น. สถานการณ์ 'น้ำท่วมหาดใหญ่' ได้คลี่คลายลงสู่ระดับ 0 ในที่สุด
อุทกภัยครั้งนี้สร้างความเสียหายต่อศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของภาคใต้ เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูงกว่าทุกครั้ง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักเป็นเวลานาน ผลกระทบที่สำคัญที่สุดต่อโครงสร้างพื้นฐานคือการที่ระบบคมนาคมหลักถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ดังที่เห็นได้จากความจำเป็นในการใช้เฮลิคอปเตอร์จากเรือหลวงจักรีนฤเบศรเพื่อส่งข้าวกล่องไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งเป็นหน่วยงานบริการที่สำคัญของจังหวัด
ความเสียหายต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ระบบไฟฟ้า การสื่อสาร และการเข้าถึงสถานพยาบาล ถูกลดทอนประสิทธิภาพอย่างรุนแรง การที่หน่วยซีลต้องเข้าร่วมในการช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้าง แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานกู้ภัยพลเรือนต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมปฏิบัติการที่ท้าทายเกินขีดความสามารถปกติ การพึ่งพาการสนับสนุนทางทหารโดยตรงในระดับสูงยืนยันถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติที่รุนแรงในระดับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2568 ได้
วิกฤตการณ์: ต้นตอและปริมาณน้ำฝนทำลายสถิติ
มหาอุทกภัยหาดใหญ่ 2568 ตอกย้ำว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศได้ระบุว่า เหตุน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปรากฏการณ์มรสุมตามฤดูกาลปกติ แต่เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ฝนตกแช่" ซึ่งภาวะโลกร้อนทำให้ชั้นบรรยากาศกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้น ส่งผลให้ฝนตกถี่และตกแช่เพิ่มขึ้น ซึ่งนำมาสู่การตกของฝนในปริมาณมหาศาลภายในระยะเวลาอันสั้น
ตัวเลขปริมาณน้ำฝนสะท้อนความรุนแรงของวิกฤตอย่างชัดเจน ปริมาณน้ำฝนสะสมในเดือนพฤศจิกายน ปี 2568 ของหาดใหญ่สูงขึ้นจากปีก่อนถึง 86.3% ที่น่าตกใจคือ ปริมาณฝนในบางวันสามารถแตะระดับ 370 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าปริมาณฝนสะสมทั้งเดือนพฤศจิกายนของปี 2560 และปี 2562 เสียอีก ข้อมูลเชิงปริมาณนี้พิสูจน์ว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของระบบป้องกันภัยเดิม
บทเรียนความล้มเหลว
ความเสียหายรุนแรงในหาดใหญ่ไม่ได้เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่มากเกินไปเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความล้มเหลวของระบบโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันน้ำท่วม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยหลังจากการถอดบทเรียนเชิงลึกว่า เหตุการณ์นี้เป็น "สัญญาณเตือนสำคัญ" ที่ชี้ว่าระบบระบายน้ำเดิมของเมืองไม่เพียงพอรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป
ปัญหาหลักคือ น้ำหลากเข้าสู่เขตเมืองพร้อมกันถึง 3 ทิศทาง
- ทิศตะวันออก: ไหลมาจากเขาคอหงส์–เขาน้ำกระจาย
- ทิศตะวันตก: ไหลผ่านคลอง ร.1 คลอง ร.3 คลอง ร.5 และคลองหวะ จากอำเภอรัตภูมิ
- ทิศใต้: ไหลมาจากอำเภอสะเดา ผ่านคลองทุ่งหมอ–คลองทุ่งวัด
ในทางกลับกัน เส้นทางระบายน้ำออกของเมืองมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น คือ การไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาทางทิศเหนือผ่านคลองอู่ตะเภา การพึ่งพาทางออกเดียวนี้ทำให้เกิดภาวะคอขวด (Choke Point) อย่างรุนแรง ระดับน้ำในคลองสายหลักสูงกว่าตลิ่งถึง 2-3 เมตร ส่งผลให้สถานีสูบน้ำที่มีอยู่ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และนำมาซึ่งน้ำท่วมรุนแรงในเขตเมืองชั้นในตามที่ปรากฏ
เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานในศูนย์กลางเมืองของประเทศไทยยังคงตั้งอยู่บนสมมติฐานทางภูมิอากาศที่ล้าสมัย การออกแบบระบบชลประทานที่พึ่งพาทางระบายน้ำเพียงทางเดียว แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงระบบในการคาดการณ์
ปัญหาเงินทุนและความจำเป็นเร่งด่วน
การถอดบทเรียนจากอุทกภัยหาดใหญ่เผยให้เห็นรอยร้าวที่ใหญ่ที่สุดในนโยบายรับมือสภาพภูมิอากาศของไทย นั่นคือ "ช่องว่างทางการคลัง" ภาครัฐไทยมีเงินทุนที่จัดสรรไว้เพื่อรองรับผลกระทบจากการปรับตัวต่อ Climate Change ในแต่ละปี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 29,027 ล้านบาท แต่งบประมาณจำนวนนี้สามารถรองรับความเสียหายที่คาดการณ์ได้เพียง 15%-18% เท่านั้น ขณะที่ UNESCAP ประเมินว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงถึง 165,000–192,043 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้การปรับตัวมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายความว่า ประเทศไทยขาดดุลเงินทุนในการป้องกันประเทศจากภัยพิบัติเกินกว่า 80% ต่อปี
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะประสบความสำเร็จในการออกตราสารหนี้ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Bonds) โดยเฉพาะ Sustainability Bonds และ Sustainability-linked Bonds ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 65% ของยอดคงค้างตราสารหนี้ ESG ทั้งหมด แต่เงินทุนส่วนใหญ่กลับถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น การจัดสรรเงินทุนที่ผิดพลาดนี้เป็นความล้มเหลวเชิงนโยบายการคลังที่ส่งผลโดยตรงต่อความรุนแรงของภัยพิบัติหาดใหญ่ เนื่องจากเงินทุนที่ควรถูกนำไปลงทุนในระบบป้องกันถาวร เช่น การแก้ปัญหาคอขวดของคลองระบายน้ำ กลับถูกเบี่ยงไปสู่โครงการอื่น
ผลกระทบทางสังคมและการเยียวยา: ความเหลื่อมล้ำใต้สายน้ำหลาก
นอกเหนือจากความเสียหายทางกายภาพแล้ว อุทกภัยหาดใหญ่ 2568 ได้สร้างบาดแผลทางสังคมและความบอบช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรง รายงานส่วนบุคคลจากผู้ประสบภัยสะท้อนภาพความล้มเหลวของการตอบสนองในระดับพื้นที่ (First Response)
ผู้ประสบภัยรายหนึ่งเล่าถึงประสบการณ์การติดอยู่ในน้ำท่วมนานถึง 6 วัน โดยระบุว่า "ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วย ไม่มีเสียงเรือ ไม่มีไฟฉาย ไม่มีคนมาแม้แต่จะถาม" พวกเขาต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น ก่อนจะตัดสินใจเดินฝ่าน้ำออกมาอย่างสิ้นไร้หนทาง ประสบการณ์ความโดดเดี่ยวและความไร้ที่พึ่งนี้ ได้ทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความสามารถของรัฐในการให้ความคุ้มครองในยามวิกฤตที่คาดการณ์ได้
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ประกาศมาตรการเยียวยาสำหรับผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมในพื้นที่ที่ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ) ในจังหวัดสงขลา โดยกำหนดเงินค่าปลงศพสูงถึงรายละ 2 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) ถูกตั้งคำถามถึงเสียงสะท้อนจากประชาชนในจังหวัดใกล้เคียงที่ประสบเหตุน้ำท่วมและมีผู้เสียชีวิตเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้รับเงินเยียวยาจำนวน 2 ล้านบาทอย่างเท่าเทียม นายภราดรได้ชี้แจงว่า เบื้องต้นการเยียวยา 2 ล้านบาทจะจำกัดเฉพาะในเขตที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คือ จังหวัดสงขลาเท่านั้น ส่วนกรณีจังหวัดอื่นที่เกิดปัญหา จะต้องนำไปพิจารณาในลำดับถัดไป
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเยียวยาทั่วไปแบบเหมาจ่ายสำหรับความเสียหายต่อที่พักอาศัย โดยมีการจ่ายเงินช่วยเหลือพื้นฐานครัวเรือนละ 9,000 บาท สำหรับที่พักอาศัยที่ถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วัน และมีเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมแบบขั้นบันไดตามระยะเวลาที่น้ำท่วมขัง (เช่น 5,000 บาท สำหรับ 31-60 วัน และสูงสุด 20,000 บาท สำหรับ 121 วันขึ้นไป)
แผนแม่บท 20-30 ปี และการปฏิรูปการคลัง
จากการถอดบทเรียนความล้มเหลวของระบบป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียนและวางแผนรับมือมหาภัยในอนาคต ข้อสรุปเชิงโครงสร้างคือ การแก้ไขปัญหาหาดใหญ่ต้องมองให้ครบถ้วนทั้งโครงสร้างน้ำและโครงสร้างถนน และต้องลงลึกไปถึงผังเมืองในระยะ 20-30 ปีข้างหน้า เพื่อให้เมืองหาดใหญ่ไม่ประสบเหตุการณ์ซ้ำอีก แนวทางหลักที่ถูกเสนอขึ้นมาคือการสร้าง "วงแหวนและคลองระบายน้ำ" เพื่อบริหารจัดการการไหลของน้ำหลากอย่างยั่งยืน
อุทกภัยหาดใหญ่ 2568 ต้องถือเป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายของประเทศ ในการเปลี่ยนผ่านจากการจัดการภัยพิบัติแบบตั้งรับ (Reactive) ไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันเมืองและระบบการเงินเชิงรุก (Proactive Resilience) อย่างแท้จริง การดำเนินการที่สำคัญคือ
- การจัดลำดับความสำคัญทางการคลังใหม่ ปิดช่องว่างทางการเงินกว่า 80% ที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวต่อ Climate Change โดยการออกพันธบัตร Climate Resilience Bonds (CRBs) โดยทันที เพื่อใช้เป็นเครื่องมือระดมทุนเฉพาะสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานป้องกันภัยพิบัติขนาดใหญ่ เงินทุนที่ได้จาก CRBs นี้จะต้องถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนแผนแม่บทระยะยาว 20-30 ปี ในการสร้างโครงข่าย "วงแหวนและคลองระบายน้ำ" ในหาดใหญ่
- ปฏิรูประบบการตอบสนองภัยพิบัติ เร่งดำเนินการปฏิรูประบบโลจิสติกส์และการตอบสนองเบื้องต้น เพื่อรับประกันว่าประชาชนที่ติดอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติจะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก นอกจากนี้ กรอบการเยียวยาผู้ประสบภัยทั่วประเทศจะต้องถูกยกเครื่องใหม่ โดยมาตรฐานการชดเชยสำหรับชีวิตและความเสียหายควรเป็นไปอย่างเท่าเทียมและเป็นสากล ไม่ควรผูกติดอยู่กับการประกาศทางกฎหมายที่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ เช่น พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
