รีเซต

สรุปข้อมูลเครื่องบินขับไล่ J-10 และ JF-17 ของกองทัพอากาศปากีสถาน และ Rafale ของกองทัพอากาศอินเดีย

สรุปข้อมูลเครื่องบินขับไล่ J-10 และ JF-17 ของกองทัพอากาศปากีสถาน และ Rafale ของกองทัพอากาศอินเดีย
TNN ช่อง16
8 พฤษภาคม 2568 ( 13:08 )
72

ในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารอยู่ตลอดเวลา อำนาจทางอากาศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ กองทัพอากาศของ ปากีสถาน และ อินเดีย ต่างเร่งเสริมแสนยานุภาพด้วยเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัย โดยเฉพาะ 3 รุ่นหลักที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ได้แก่ JF-17 Thunder, J-10C Vigorous Dragon และ Dassault Rafale

JF-17 Thunder ความภาคภูมิใจของปากีสถาน


JF-17 Thunder เป็นเครื่องบินขับไล่เอนกประสงค์รุ่นที่ปากีสถานพัฒนาร่วมกับจีน โดยบริษัท Pakistan Aeronautical Complex (PAC) และ Chengdu Aircraft Industry Group ของจีน ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 มีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาอาวุธจากตะวันตก และสร้างกำลังการผลิตภายในประเทศปากีสถาน ภายในเทคโนโลยีและการถ่ายทอดความรู้จากประเทศจีน

เครื่องบิน JF-17 มีน้ำหนักเบา ใช้งานง่าย มีต้นทุนต่ำ แต่ยังสามารถติดอาวุธนำวิถี ความเร็วเหนือเสียง และระบบอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ปัจจุบันปากีสถานมีประจำการรุ่น Block I, Block II และล่าสุดคือ Block III ซึ่งติดตั้งเรดาร์ AESA, ระบบเตือนภัยล้ำสมัย และรองรับการยิงขีปนาวุธ PL-15 ที่มีพิสัยไกลถึง 200 กิโลเมตร

เริ่มประจำการครั้งแรกในปี 2007 ปัจจุบันรวมทุกรุ่น 123 ลำ และมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมในรุ่น Block lll  แม้ไม่ใช่เครื่องบินที่ล้ำหน้าที่สุดในภูมิภาค แต่ JF-17 ก็เป็นกำลังหลักที่ยืดหยุ่น และกำลังเริ่มส่งออกไปยังประเทศอื่น เช่น เมียนมาและไนจีเรีย


J-10C มังกรจีนบนฟ้าเอเชียใต้ของปากีสถาน


หลังจากปากีสถานพบข้อจำกัดของ JF-17 ในการเผชิญหน้ากับเครื่องบินขั้นสูงของอินเดีย เช่น เครื่องบินขับไล่ประสิทธิภาพสูง Rafale จากฝรั่งเศส

ปากีสถานจึงจัดหาเครื่องบิน Chengdu J-10C Vigorous Dragon จากจีน ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่เหนือชั้นกว่า JF-17 อย่างเห็นได้ชัด ในด้านความคล่องตัวของการบิน

J-10C เป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4.5+ มีขีดความสามารถในการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ติดตั้งเรดาร์ AESA (Active Electronically Scanned Array) ระบบอาวุธครบครัน และรองรับขีปนาวุธ PL-15 เช่นเดียวกับ JF-17 Block III

ประจำการครั้งแรกในปี 2022 จำนวนการสั่งซื้อทั้งหมด 25 ลำ ใช้การผลิตในประเทศจีน การที่ปากีสถานได้รับ J-10C ถือเป็นการเปลี่ยนดุลทางอากาศในภูมิภาค เพราะ J-10C มีขีดความสามารถเทียบชั้นกับ Rafale ของอินเดีย และเหนือกว่า Su-30MKI ที่ใช้งานมายาวนาน

Dassault Rafale เครื่องขับไล่ขั้นสูงรุ่นใหม่ของอินเดีย


ในปี 2016 อินเดียลงนามจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ Dassault Rafale จากฝรั่งเศสจำนวน 36 ลำ ในปี 2020 เพื่อเสริมทัพให้กับกองทัพอากาศอินเดีย (IAF) และเพิ่มศักยภาพในการรบเชิงรุก Rafale เป็นเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 4.5 ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ทั้งในด้านการต่อสู้กลางอากาศ การโจมตีภาคพื้นดิน และการรบในทุกสภาพอากาศ

Rafale ติดตั้งเรดาร์ RBE2 AESA, ระบบรบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ SPECTRA, และสามารถยิงขีปนาวุธ Meteor ซึ่งมีพิสัยยิงไกลถึง 150–200 กิโลเมตร พร้อมความสามารถในการล็อกเป้าหมายหลายเป้าพร้อมกัน จุดแข็งที่แท้จริงของ Rafale คือ “ระบบผสมผสาน” ที่ทำให้การทำงานของเซ็นเซอร์และอาวุธต่าง ๆ สอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

อินเดียยังวางตำแหน่ง Rafale ให้สามารถสกัดกั้นเครื่องบินศัตรูตั้งแต่ระยะไกล (Beyond-Visual-Range Combat) และทำหน้าที่โจมตีเชิงลึกในดินแดนศัตรูได้

การแข่งขันทางทหารระหว่าง อินเดียกับปากีสถานยังคงดำเนินไปทั้งในมิติการเมือง ความมั่นคง และเทคโนโลยีทางทหาร JF-17 เป็นทางออกที่คุ้มค่าสำหรับปากีสถานในการป้องกันอธิปไตย 

ขณะที่ J-10C เข้ามาเสริมแกร่งให้ปากีสถานสามารถสู้กับ Rafale ได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ส่วน Rafale ของอินเดียก็ถือเป็น “หมัดเด็ด” ที่ทำให้กองทัพอากาศอินเดียได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและขีดความสามารถในปัจจุบัน 

การแข่งขันของเครื่องบินทั้งสามแบบนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของยุทธศาสตร์ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และสมดุลอำนาจในเอเชียใต้อีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง