รีเซต

2568 “ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย” นายกฯ ชูไทยที่ 1 TOURISM HUB

2568 “ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย” นายกฯ ชูไทยที่ 1 TOURISM HUB
TNN ช่อง16
16 มีนาคม 2567 ( 14:34 )
46

การผลักดันภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัว ถือเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการฟื้นเศรษฐกิจไทย ที่บอบช้ำจากผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ และเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้น เมื่อ นาบกรัฐมนตรี เศรษฐา  ทวีสิน ได้แสดงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” ชูขับเคลื่อนไทยสู่ความเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว  ล่าสุด นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกฬา พร้อม ประกาศว่า ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย เป็นปีที่ภาคการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากนโยบายหลากหลายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศนโยบายยกเว้นวีซ่า หรือวีซ่าฟรี กับหลายประเทศ ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึง การเจรจาขอให้สหภาพยุโรป (EU) ยกเว้นวีซ่าเชงเก้นให้กับคนไทย ซึ่งจากการพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ได้รับการสนับสนุนที่ดี นอกจากนี้ประเทศไทย ยังเร่งอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะ สนามบิน และระบบซอฟต์แวร์การตรวจคนเข้าเมือง ภายใมต้เป้าหมาย มอบประสบการณ์ ที่ดีให้นักท่องเที่ยวตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายที่จะเดินทางออกจากประเทศไทย



นายกรัฐมนตรี ย้ำด้วยว่า  ภาคการท่องเที่ยวถือเป็น 1 ใน 3 เรือธงที่สำคัญที่สุดของประเทศ ไทย ดังนั้น การจัดเวิร์กช็อประดมสมองจากหลาย ๆ หน่วยงาน จึงเป็นเป้าหมายนำไปสู่การสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทย  ซึ่งจะเริ่มวางแผนโปรโมตตั้งแต่ปลายนี้เป็นต้นไป เพื่อคิกออฟ ปีท่องเที่ยวไทยในปี 2568 แต่ก็ยอมรับว่า จำเป็นต้องมีการลงทุนและการสนับสนุนเงินงบประมาณ แต่ต้องคุ้มค่าจริง ๆ โดยประเทศไทยมีขนาดพื้นที่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก ดังนั้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงสร้างรายได้หลักให้กับคนไทยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนประชากร คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.3 ล้านล้านบาท หรือ 70% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 



นายกรัฐมนตรี บอกเพิ่มเติมว่า รัฐบาลมีไอเดียเปิดอิสรภาพสู่การเดินทางระดับภูมิภาค อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ปลดล็อกทุกข้อจำกัด ข้อกังวลของการท่องเที่ยว ผ่านการเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน เพื่อให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ประกอบไปด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม 

หลังจากนี้การท่องเที่ยวไทยจะได้รับการส่งเสริมต่อยอดทุกรูปแบบ ทุกจังหวัด ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง ที่จะต้องพัฒนาจนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวได้ตลอดทั้ง 365 วัน สิ่งสำคัญคือการแก้ไขกฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคการท่องเที่ยว เช่น เวลาเปิดปิดสถานบริการ การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการแก้ไขภาษีสำหรับการจัดงานหรือแข่งขันต่าง ๆ รองรับการเป็น Homestay ของคนทั่วโลก 






ด้านนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กว่าวว่า การเวิร์กช็อประดมสมองจากทุกฝ่าย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย จะเป็นการร่วมจุดพลังให้การท่องเที่ยวของไทยก้าวไปเป็นที่ 1 ของภูมิภาค ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว หรือ Tourism Hub โลกตามเป้าหมาย โดยในปี 2567 รัฐบาลมีตั้งเป้าสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท แต่ผู้นำรัฐบาล อย่างนายกรัฐมนตรี มีเป้าที่ท้าทาย โดยเพิ่มเป้ารายได้แตะ 3.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่า จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นจุดแข็งของประเทศไทย จึงจำเป็นต้อง ปรับสเกลการพัฒนาให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น



สำหรับการปรับกลยุทธ์ให้นักท่องเที่ยวเพิ่มรายจ่ายต่อทริป เพิ่มจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยว และกระจายนักท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองรองอย่างทั่วถึง จะดำเนินการผ่าน  5 ประเด็นสำคัญ นั่นคือ 

1.Things must do in Thailand คือ สิ่งที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยว ทั่วโลกมาเยือนประเทศไทย เช่น อาหารไทย มวยไทย ผ้าไทย วัดไทย Thai Show โดยเฟ้นหาและผลักดันสิ่งเหล่านี้และใช้ความทรงพลังของเอกลักษณ์ไทยให้เข้าไปอยู่ในใจของนักท่องเที่ยว และเก็บความประทับใจกลับไปบอกต่อและกลับมาเที่ยวซ้ำ

2.จุดพลังเมืองหลักชูเมืองรอง โดยยกระดับเมืองรองให้เป็นจุดท่องเที่ยวมากขึ้น และทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยวได้ทั้ง 365 วัน โดยเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่เมืองรอง ส่งต่อและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

3.ยกระดับ World Class Events ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาและยกระดับสู่การเป็นเมืองแห่ง World Class Events ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของสนามกีฬาขนาดใหญ่ ศูนย์การประชุม ศูนย์การจัดแสดงสินค้าที่มีมาตรฐานและศักยภาพในการรองรับการจัดงานอีเวนต์ระดับโลก ซึ่งโจทย์สำคัญคือทำอย่างไรจะผลักดันให้ไทยเป็นเมืองศูนย์กลางมหกรรมความบันเทิงระดับโลก และก้าวสู่การเป็นเมืองศูนย์กลางงานเทศกาลงานศิลปะ งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ การประชุมระดับนานาชาติ และมหกรรมคอนเสิร์ต โดยนำศิลปินระดับโลกเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงการยกระดับเทศกาลไทยจาก Local to Global เช่น เทศกาลสงกรานต์ ลอยกระทง ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

4.ประสานพลัง ASEAN Connectivity การเชื่อมแบบไร้รอยต่อ โดยร่วมกันหาวิธีการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวผ่านเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน และจับมือกับพันธมิตรในระดับภูมิภาค โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทย ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคอาเซียน  เพื่อสร้างความเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม ทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ เพื่อรวมการท่องเที่ยวในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียว

5.การสร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักท่องเที่ยว โดยต้องสร้างประสบการณ์และความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวก ความสะอาด รวมทั้งการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เชื่อว่า หากทุกส่วนร่วมใจกันจุดพลังทั้ง 5 โจทย์ก็จะเป็นตัวช่วยในการกำหนดยุทธศาสตร์  ทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็น Tourism Hub ได้อย่างแท้จริง....


เรียบเรียงโดย ปุลญดา บัวคณิศร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง