ไทยจะกลับมาเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวโลกได้หรือไม่? เมื่อต้องใช้เทคโนโลยี และเป็น Smart Tourism

เทคโนโลยี, ข้อมูล และความร่วมมือทุกภาคส่วน อาจเป็นคำตอบของการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญความตกต่ำ หลายประเทศในภูมิภาคกลายมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว โดยในงาน GCNT Expo 2025 ในเวที Sustainable & Smart Tourism Making Thailand a World-Class Destination ได้มีการพูดคุยว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาเพียงวัฒนธรรม มาใช้ "เทคโนโลยี" เป็นกลไกสำคัญ สู่แนวทาง Smart Tourism และ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นรินทร์ ทิจะยัง ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดในโลก ติดอันดับ 5 เทียบเท่าสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สเปน และฝรั่งเศส แต่ขณะนี้ตกมาอยู่อันดับ 10 ทั้งประเทศเพื่อนบ้านเราที่เขาเคยถูกมองว่าอยู่ในคนละลีกอย่างสิงคโปร์ เวียดนาม หรือมาเลเซีย ตอนนี้เริ่มใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นหัวใจ เช่น การใช้ Google Destination Insights หรือเครื่องมือ Data-driven เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยยังล้าหลังในจุดนี้ จึงต้องรีบก้าวข้ามอุปสรรค และเปลี่ยนแนวคิดจาก Volume สู่ Value
ดร. ภาสกร ประถมบุตร จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เสริมว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็น Digital Transformation โดยเฉพาะในระดับเมือง ซึ่งในอนาคตจะต้องต่อยอดไปสู่ AI Transformation เพราะการท่องเที่ยวต้องพึ่งพาเมือง ไม่ใช่แค่บริการประชาชน แต่รวมถึงการรองรับนักท่องเที่ยวด้วย เช่น เมืองอย่างนครสวรรค์ที่มี CCTV วิเคราะห์พฤติกรรมคน ภูเก็ตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในชายหาดยามค่ำคืน
โดยแนวทาง Smart City จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการท่องเที่ยวระดับโลก โดยมีการออกแบบเทคโนโลยีตามความต้องการของเมือง ไม่ใช่ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกันทุกพื้นที่
ซึ่งไม่เพียงแค่ Smart City แต่เทรนด์ Sustainable Tourism เที่ยวแล้วช่วยโลก เที่ยวแล้วมีประโยชน์ต่อโลกก็กำลังเกิดขึ้น ซึ่ง ททท. ยังผลักดันให้การท่องเที่ยวไทยเป็นไปตาม Sustainable Tourism Goals มีการให้รางวัลกับผู้ประกอบการ และปัจจุบันนักท่องเที่ยวเอง ยังไม่ใช่แค่เที่ยวเพื่อความสนุก แต่การท่องเที่ยวนั้นมีความหมายอย่างไร ช่วยสังคมอย่างไร ต้องสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจท้องถิ่น และชุมชนด้วย
แต่การจะแข่งขัน และทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ได้นั้น จำเป็นต้องใช้ เทคโนโลยี และ DATA เป็นสำคัญ เช่นโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” ได้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา Smart Innovation เพื่อผลักดันธุรกิจท่องเที่ยวของผู้ประกอบการกว่า 7,000 ราย ให้เข้าถึงนักท่องเที่ยว 23 ล้านคนผ่านแพลตฟอร์มกลางในอนาคต มีระบบเปิด ข้อมูลเชื่อมโยง รัฐต้องเป็นตัวกลางเชื่อมกับทางเอกชน
Depa ยังชี้ว่า รัฐต้องเปิด API ให้ภาคเอกชน เช่นการเชื่อมต่อกับระบบ ThaiID และการออก Digital Certificate ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่ต้องทำให้เกิดการต่อยอดทางนวัตกรรมอย่างแท้จริง ซึ่งนรินทร์จาก ททท. ยังเน้นว่า ประเทศไทยจะกลับมายิ่งใหญ่ด้านการท่องเที่ยวไม่ได้ ถ้าไม่ร่วมมือกันทั้งประเทศ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพราะปัจจุบัน นักท่องเที่ยวฉลาดขึ้น เทคโนโลยีเข้าถึงง่าย การโฆษณาแบบเดิมๆ ไม่ได้ผลอีกต่อไป “ทุกเรื่องเล็กๆ คือเรื่องของประเทศชาติ ถ้าเราร่วมมือกัน ไม่นิ่งเฉย ทุกอย่างจะดีขึ้นได้”
สุดท้ายแล้ว ดร. ภาสกร ชี้ถึงสี่หลักการจาก ISO ที่จะเป็นเหมือนภารกิจในการจัดการภาคท่องเที่ยว คือ 1) วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน วางแผนร่วมกันในระยะยาว และ 2) เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ซึ่งสองข้อนี้ต้องไปด้วยกันว่า คนในเมืองต้องเห็นด้วย โดยเขาย้ำว่าถ้าไทยจะพัฒนาเมืองท่องเที่ยว ต้องถามก่อนว่า “คนในเมืองอยากให้เมืองเป็นเมืองท่องเที่ยวไหม?” เพราะบางเมืองอาจไม่อยากรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น จราจรติด หรือปัญหาขยะ การวางนโยบายท่องเที่ยวจึงต้อง “บาลานซ์” ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ กับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างวิสัยทัศน์ร่วม ว่าจะเน้นคุณภาพหรือปริมาณ จะดึงกลุ่มไหน และเมืองไหนควรเป็นจุดขาย
ข้อที่ 3) ข้อมูลคือรากฐานของทุกสิ่ง ทั้งจำนวนคนมาเที่ยว กำลังแรงงาน การใช้จ่าย การเดินทาง สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือวางแผนในระดับอุตสาหกรรม และการค้า และสุดท้าย 4) คือการร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ภาครัฐ แต่เอกชน ไปถึงภาคการศึกษา ก็ควรเข้ามาร่วมมือด้วย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
