รีเซต

จาก เงินโบนัส สู่ ‘สินบนในคราบสิทธิ’ มองผ่านคดีเงินโบนัส อบต.หนองหาน

จาก เงินโบนัส สู่ ‘สินบนในคราบสิทธิ’ มองผ่านคดีเงินโบนัส อบต.หนองหาน
TNN ช่อง16
27 มิถุนายน 2568 ( 06:00 )
24

ในระบบราชการท้องถิ่น หลายคนอาจคิดว่า “โบนัสประจำปี” คือรางวัลเล็ก ๆ ที่ช่วยเติมพลังใจให้กับคนทำงานบริการสาธารณะ แต่ที่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ปลายปีงบประมาณ 2549 เสียงลือเรื่องการจ่ายโบนัสเริ่มแพร่กระจายไปทั่วสำนักงาน เจ้าหน้าที่บางคนยิ้มรับข่าวดี บางคนกลับเริ่มกังวล เพราะมีเงื่อนไขบางอย่างตามมาด้วย — เงื่อนไขที่ไม่ควรมีในกระบวนการใช้งบประมาณของรัฐ

สิ่งที่ควรเป็น “สิทธิ” ถูกแปรเปลี่ยนเป็น “ของแลกเปลี่ยน” ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการเรียกรับเงินใต้โต๊ะเพื่อแลกกับการอนุมัติสิ่งที่พนักงานควรได้รับอยู่แล้ว

คดีนี้เริ่มจากค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม แต่นำไปสู่การสืบสวนเชิงระบบโดย ป.ป.ช. ที่พบโครงสร้างการทุจริตฝังรากลึก และตัดสินใจฟ้องคดีด้วยตนเอง เพื่อไม่ให้คดีนี้ตกหล่นกลางทางในระบบยุติธรรม

สิทธิพนักงานที่กลายเป็นเครื่องต่อรอง

50,000 บาท คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้พนักงานได้รับเงินโบนัสที่ควรได้อยู่แล้ว

ในเดือนตุลาคม 2549 พนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลหนองหาน จังหวัดอุดรธานี กำลังรอฟังผลการพิจารณาเงินโบนัสประจำปีเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ต่างออกไป

ผู้ถูกกล่าวหา คือ นายก อบต.หนองหานในขณะนั้น เสนอ “ค่าธรรมเนียม” 50,000 บาท เพื่อแลกกับการอนุมัติให้ลูกจ้างได้รับเงินโบนัสเต็มตามสิทธิ เงินที่ควรเป็นรางวัลจากการทำงาน กลับกลายเป็นสินค้าที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ

โครงสร้างภายในที่เอื้อให้เกิดการทุจริต

จากการสืบสวนของ ป.ป.ช. พบว่า พฤติการณ์ทุจริตไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้า แต่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ

ผู้ถูกกล่าวหา แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการจ่ายโบนัส โดยมีตนเองเป็นประธาน และมีปลัด อบต. พร้อมเจ้าหน้าที่อีก 4 คนร่วมเป็นกรรมการ คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจกำหนดอัตราการจ่ายโบนัสที่แตกต่างกัน เช่น 3 เท่าสำหรับข้าราชการ 2 เท่าสำหรับลูกจ้างภารกิจ และ 1–1.5 เท่าสำหรับลูกจ้างทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงขั้นตอนการอนุมัติ ผู้ถูกกล่าวหา กลับเรียกร้องเงิน 50,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าตอบแทนส่วนตัวในการลงนามคำสั่งเบิกจ่าย ทั้งที่เงินดังกล่าวเป็นสิทธิที่พนักงานควรได้รับตามผลการประเมิน

ต่อรองลับในห้องปิด บนพื้นฐานที่ไม่โปร่งใส

จากบันทึกการสืบสวนของสำนวนคดี พบว่าการเรียกรับเงินมีการหารือกันในหมู่เจ้าหน้าที่ โดยเสนอให้แบ่งเปอร์เซ็นต์โบนัสให้กับผู้บริหารในลักษณะค่าตอบแทนส่วนตัว โดยเริ่มจากเสนอให้ผู้ถูกกล่าวหารับ 5% หรือประมาณ 28,000 บาท แต่เธอไม่พอใจและยืนยันขอ 50,000 บาท พร้อมทั้งชูนิ้ว 5 นิ้วประกอบคำพูดว่า “ถ้าไม่ได้ ไม่ต้องคุยกัน”

เพื่อให้ได้เงินครบตามจำนวน เจ้าหน้าที่บางคนจึงปรับอัตราโบนัสของพนักงานบางกลุ่มให้สูงขึ้นกว่าความเป็นจริง แล้วนำเงินส่วนต่างนั้นคืนให้ผู้บริหารผ่านบัญชีส่วนตัว เป็นการบิดเบือนกระบวนการเบิกจ่ายโดยเจตนา

จากคำร้อง ถึง ขั้นตอนการจับจริง

ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งผ่านศูนย์ดำรงธรรม และได้เริ่มกระบวนการสอบสวนโดยรวบรวมหลักฐานทางบัญชี คำให้การของพยาน และเอกสารภายในที่แสดงถึงกระบวนการอนุมัติที่ไม่โปร่งใส แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิเสธในช่วงแรก แต่ภายหลังก็ยอมรับสารภาพและคืนเงิน 50,000 บาทให้ทางราชการ

ป.ป.ช. ต้องลุยเอง ฟ้องเองเพื่อคุ้มครองกระบวนการยุติธรรม

ทำไมต้องฟ้องเอง?

โดยปกติ คดีทุจริตในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะถูกส่งต่อให้อัยการเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องในชั้นศาล แต่ในคดีเงินโบนัส อบต.หนองหาน คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้อำนาจตามมาตรา 91 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีด้วยตนเอง

เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ผู้ดูแลคดีอธิบายว่า แม้จำนวนเงินจะไม่สูง แต่พฤติกรรมและบริบทของคดีนี้ชี้ให้เห็น “โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ” ที่ไม่ปกติ เพราะผู้มีอำนาจในท้องถิ่นใช้ตำแหน่งเป็นเครื่องต่อรองผลประโยชน์ ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนหนึ่งมีส่วนร่วมกับกระบวนการดังกล่าว

"พนักงานใต้บังคับบัญชาถูกดึงเข้าสู่ขบวนการทุจริตนี้ แต่เมื่อไม่ได้รับประโยชน์ตามที่ตกลงกัน จึงหันมาร้องเรียน  นี่คือสิ่งที่ ป.ป.ช. มองว่า เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่บิดเบี้ยวและไม่ควรเกิดขึ้น"  

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ใครผิด” แต่คือ “ระบบตรวจสอบภายในทำอะไรอยู่” เพราะในบางพื้นที่อิทธิพลของผู้บริหารท้องถิ่นยังครอบคลุมไปถึงกลไกยุติธรรมระดับต้น เช่น ตำรวจ อัยการ หรือหน่วยกำกับท้องถิ่นอื่น ๆ ที่อาจมีความใกล้ชิดกันในเชิงพื้นที่หรือการเมือง

นั่นคือเหตุผลที่ ป.ป.ช. ตัดสินใจไม่ส่งคดีนี้ต่อให้อัยการตามขั้นตอนปกติ แต่เลือก “ลุยเอง” เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจทำให้คดีถูกตีตกหรือประวิงเวลาในระบบยุติธรรม ซึ่งอาจกลายเป็นบทเรียนว่าความผิดเชิงระบบเล็ก ๆ สามารถรอดพ้นการตรวจสอบได้ ถ้าผู้ตรวจสอบ “ไม่ไปถึงที่สุด”

ในมุมหนึ่ง การฟ้องคดีเองคือการปกป้องสิทธิของพนักงานที่ถูกเอาเปรียบโดยตรง แต่ในอีกมุม มันคือการส่งสัญญาณถึงเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทั่วประเทศ ว่า “เครื่องมือทางกฎหมาย” ที่มีอยู่ในมือ ไม่ควรถูกเก็บไว้ใช้แค่กับคดีใหญ่ระดับชาติ แต่ควรถูกใช้เมื่อพบว่ากระบวนการยุติธรรมปกติอาจไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์


คำพิพากษา กับบทสรุปที่มากกว่าตัวบทกฎหมาย

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 6 ปี ฐานเรียกรับเงินและใช้อำนาจโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157 ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดตามมาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 1 ปี พร้อมโทษปรับ แต่เมื่อจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพและมีเหตุบรรเทาโทษ ศาลจึงลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 3 ปี และจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 6 เดือน โดยให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 และ 3 ไว้ 2 ปี

คำพิพากษาระบุเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 2 และ 3 มีบทบาทแจ้งข้อมูลต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อเปิดทางให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งสองถูกลงโทษทางวินัยและออกจากราชการไปแล้ว ขณะที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแก้ไขโทษจำเลยที่ 1 ในภายหลัง ให้จำคุก 5 ปี ลดจากคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยอาศัยบทบัญญัติตามมาตรา 78 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คดีจึงจบลงด้วยโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

แม้โทษจะถูกลดตามกระบวนการยุติธรรม แต่คดีนี้กลายเป็นกรณีศึกษาในมิติที่กว้างกว่าตัวบท เพราะไม่ใช่แค่การลงโทษผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่คือการเปิดให้เห็นช่องว่างของอำนาจในระบบราชการท้องถิ่น ที่หากไร้กลไกตรวจสอบที่กล้าแสดงออก คำว่า "สิทธิ" ของพนักงาน อาจกลายเป็นเพียง "สิ่งที่ต้องต่อรอง"

บทเรียนจากคดีนี้จึงไม่จบลงที่คำพิพากษา หากแต่เริ่มต้นคำถามว่า ระบบราชการแบบไหนจะทำให้คนกล้าร้องเรียน โดยไม่ต้องรอให้ผลประโยชน์ขัดกันก่อนจึงค่อยเปิดโปงความไม่ชอบธรรม

สิ่งที่ประชาชนพอทำได้ เมื่อพบการทุจริต

ป.ป.ช. แนะนำให้ผู้พบเห็นพฤติกรรมทุจริตร่วมรวบรวมหลักฐาน เช่น เอกสาร ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ พร้อมระบุวัน เวลา สถานที่ และสามารถร้องเรียนโดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อ หากเป็นกรณีเร่งด่วน ป.ป.ช. มีทีมเฉพาะกิจตรวจสอบเชิงรุกในทุกภูมิภาค

คดีเงินโบนัส อบต.หนองหาน เป็นเหมือนจุดเล็ก ๆ บนแผนที่ใหญ่ของระบบราชการไทย ที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจที่ไม่มีเครื่องค้ำยัน ย่อมเปิดช่องให้เกิดการบิดเบือนได้ง่าย แม้ในเรื่องที่ควรจะชัดเจนและเป็นธรรมที่สุดอย่าง “สิทธิของผู้ปฏิบัติงาน” ก็ยังถูกหยิบมาใช้ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

เมื่อ ป.ป.ช. เลือกใช้มาตรการพิเศษเพื่อดำเนินคดีเอง ไม่ใช่เพียงเพื่อจัดการความผิดเฉพาะราย แต่เป็นการยืนยันว่า ความผิดในระบบที่ดูเล็ก หากปล่อยผ่าน อาจกลายเป็นต้นทางของโครงสร้างที่ไม่ยุติธรรมซ้ำซาก คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ใครทำ” แต่คือ “จะทำอย่างไรให้การใช้อำนาจไม่อยู่เหนือความถูกต้องในทุกระดับของรัฐ”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง