สธ.มั่นใจ 30 บาทรักษาทุกที่ครอบคลุมทั่วประเทศสิ้นปี 67
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ระยะที่ 4 ร่วมกับผู้แทนจากเขตสุขภาพทั่วประเทศ โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา มีการขับเคลื่อนยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ มาแล้ว 3 ระยะ ครอบคลุม 45 จังหวัด
วันนี้เป็นการขับเคลื่อนระยะที่ 4 ซึ่งจะเป็นการดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ใน 32 จังหวัดที่เหลือ ตามแผนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในสิ้นปี2567 โดยในวันพรุ่งนี้ 26 พฤศจิกายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะมารับฟังข้อสรุป และให้นโยบาย รวมถึงกำหนดวัน Kick Off การขับเคลื่อนระยะที่ 4 อย่างเป็นทางการ และนโยบายการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขในปีงบประมาณ 2568
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุด้วยว่า การประชุมวันนี้เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบบริการรองรับ การยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ระบบบันทึกข้อมูลสำหรับหน่วยบริการประเภทต่างๆ ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตน ระบบให้บริการ และระบบเชื่อมต่อกับประชาชนผ่าน LINE และ Application ให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
สิ่งที่ทำควบคู่กับการเชื่อมข้อมูลสุขภาพ คือ ความ ปลอดภัยทางไซเบอร์ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลฯ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ที่ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญ มาดูระบบความปลอดภัยข้อมูลบนโลกออนไลน์
สำหรับปัญหาการให้บริการในระบบ 30 บาทรักษาทุกที่รวมถึงเรื่องใบส่งตัว ในระยะที่ผ่านมา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปัญหาการส่งตัวต่างๆ ลดลง เนื่องจากใช้ระบบจังหวัดเดียวกันโรงพยาบาลเดียวกัน แต่อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เช่น เมื่อส่งตัวไปแล้ว เตียงเต็ม ก็อาจจะต้องประสานหาโรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยใหม่ เป็นต้น
ส่วนในอนาคตจะยึดหลัก โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขเป็นโรงพยาบาลเดียวกันทั้งหมด ต่อไปในระบของกระทรวงสาธารณสุข ประชาชน ถือ บัตรประชาชนใบเดียวไปรักษาได้ทุกที่ ส่งตัวได้ทุกที่ ดูข้อมูลได้ทุกที่ นอกจากนี้่ได้มีแนวคิด เมื่อโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นสิทธิไหน เช่นถือ สิทธิประกันสังคม สามารถมารักษายังโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขได้ มีการเชื่อมข้อมูลถึงกัน อย่างไรก็ตามต้องหารือกับหลายส่วนก่อน ซึ่งถือเป็นความท้าทายในระบบดิจิทัลด้านสุขภาพ