หนี่ห่าว หรือหนีหาย ? ในวันที่เมืองไทย ต้องการ "นักท่องเที่ยวจีน"

คนจีนหายไปจากเมืองไทย จากเคยมาเที่ยวเข้าประเทศสูงสุดแสนคน หรือเฉลี่ยอยู่ที่สองหมื่นคนต่อวัน
วันนี้เราเจอกับนิวโลว์ ตัวเลขต่ำสุดเพียงแค่ห้าพันคนต่อวันเท่านั้น
รุนแรงมากที่สุดในรอบหกปี ขณะที่ทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาลและเอกชน
ต่างก็พยายามงัดยาแรงออกมาสู้ หวังเรียกความเชื่อมั่นได้อีกครั้ง
เพราะตอนนี้ทุกชาติต่างๆก็เห็นคนจีนเป็นเป้าหมายหวังดึงเข้าประเทศสร้างเม็ดเงิน
นักท่องเที่ยวจีนคือเบอร์หนึ่งที่เข้าไทยสูงสุดตลอดมา และปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
ล่าสุดตัวเลขนับจากต้นปีที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 20 เม.ย. 2568
กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า เราได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยแล้วทั้งสิ้น 11,272,379 คน
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.52 % สร้างรายได้ 540,688 ล้านบาท
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสูงสุด 5 อันดับแรก
อันดับ 1 จีน 1,524,697 คน
อันดับ 2 มาเลเซีย 1,401,169 คน
อันดับ 3 รัสเซีย 835,385 คน
อันดับ 4 อินเดีย 677,793 คน
อันดับ 5 เกาหลีใต้ 549,982 คน
ทั้งนี้สัปดาห์หลังสงกรานต์จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะชะลอตัวลง
นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
สถานการณ์ตลาด “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ในช่วงที่ผ่านมา “น่ากังวลมาก”
โดยเฉพาะ “ตลาดจีน” ที่เคยเดินทางเข้าไทยวันละ 100,000 คน
มาตอนนี้บางวันเหลือแค่ 7,000 คน จากหลายปัจจัยด้วยกัน
เช่น ความไม่เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย
ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศจีน การส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของจีน
ทำให้ตลาดจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหลักเดินทางเข้าไทยน้อยลง
รวมถึงการปรับลดเที่ยวบินจากจีนมาไทยหลังสิ้นสุดเทศกาลตรุษจีน
ประกอบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ 2568
พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ได้แก่ วันที่ 10 เม.ย. มีจำนวน 9.1 หมื่นคน
/วันที่ 11 เม.ย. มีจำนวน 1.24 แสนคน
/วันที่ 12 เม.ย. มีจำนวน 1.22 แสนคน
/วันที่ 13 เม.ย. มีจำนวน 9.31 หมื่นคน
/วันที่ 14 เม.ย. มีจำนวน 7.5 หมื่นคน
และวันที่ 15 เม.ย. มีจำนวน 6.2 หมื่นคน
สะท้อนให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ทั้งนี้รายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังพบอีกว่ามีนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าไทย
“ทำสถิติต่ำสุด”หรือนิวโลว์ ที่จำนวน 5,833 คนต่อวัน เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2568
จากค่าเฉลี่ย 15,000-20,000 คนต่อวัน
และจากตัวเลขเหล่านี้ ทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ ททท.
จำเป็นต้องปรับแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวและมุ่งทำการตลาดแบบเจาะมากขึ้น
ด้วยการหันไปทำตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul)
ซึ่งเป็นกลุ่มมีศักยภาพ ได้แก่
สวีเดน นิวซีแลนด์ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย สหราชอาณาจักร รัสเซีย ฝรั่งเศส
แคนาดา เยอรมนี ออสเตรเลีย สเปน และออสเตรีย
เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตดีและเป็นแรงเสริม
ให้สถานการณ์ตลาดภาพรวมสามารถกลับเข้าสู่แดนบวกได้
เพราะเป็นตลาดที่มีการใช้จ่ายสูง
ศึกชิงนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นแล้ว
ในวันที่ทั่วโลกต่างก็เปิดประเทศเชิญชวนคนเข้ามาเที่ยว
เพราะต้องการเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในวันที่ภาคการส่งออกรับแรงกระแทกหนักจากนโยบายของทรัมป์
แม้กระทั่งประเทศจีนเองก็เช่นกัน ที่หวังให้คนจีนเที่ยวในประเทศมากขึ้น
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า
การท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรตัวสุดท้ายในการสร้างรายได้ นำเงินจากต่างชาติเข้าไทย
แต่สิ่่งที่น่ากลัวคือ เราไม่ได้ต่อสู้แค่กับ ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม
แต่ยังมีตัวของประเทศจีนเองก็มีนโยบายดึงรั้งคนจีนให้กลับมาเที่ยวในประเทศด้วย
และในขณะเดียวกันก็เร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวในจีนเพิ่มด้วย
ที่สำคัญนอกจากการเปิดวีซ่าฟรี รัฐบาลจีนยังมีมาตรการการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยวสูงถึง 13 %
แถมระบบคืนภาษีก็ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
เพื่อดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวช้อบปิ้ง กิน ใช้ในประเทศจีนเต็มที่
แบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นทำมาแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากคล้ายกับญี่ปุ่น
ขณะที่ไทยเราเองก็พยายามเรียกความเชื่อมั่น และสู้ศึกในครั้งนี้เต็มที่
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า
ไทยเรากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเร่งหาแนวทางในการออกมาตรการซื้อของปลอดภาษี
และการคืนภาษีแวตให้กับนักท่องเที่ยวเช่นกัน
เพราะจีนทำแล้วประสบความสำเร็จ จนทำให้ทุกวันนี้จีนกลายเป็นคู่แข่งรายใหม่ของโลกในด้านการท่องเที่ยว
ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความร่วมมือและช่วยแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้นร่วมกัน
นอกจากนี้ททท. ยังเดินหน้าทำการตลาดนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่กับตลาดอื่นที่มีศักยภาพสูง อาทิ ยุโรป หรือตลาดระยะไกล
ซึ่งตัวเลขเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ
พร้อมมั่นใจว่าตลาดจีนในปีนี้ยังถือว่ามีปัจจัยเชิงบวก
เนื่องจากเป็นปีที่มีการฉลองความสัมพันธ์ไทยจีนครบรอบ 50 ปี
ซึ่ง ททท.เองได้จัดงานฉลองความสัมพันธ์มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
อาทิ ตรุษจีน มีคอนเสิร์ตศิลปินที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีนมากมาย และทำต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567
โดยแคมเปญใหญ่ที่วางแผนดำเนินการเป็นโครงการ "สวัสดี หนีห่าว" ประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวไทย
ต่อยอดจากแคมเปญ "หนีห่าว month" ที่ดึงหลัวอวิ๋นซี นักแสดงจีนยอดนิยม
เข้ามาเป็นสื่อกลางเผยแพร่ภาพท่องเที่ยวไทยออกไป
รวมไปถึงกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังได้ดึงการพลังจาก Soft Power
ใช้คนดังจากโลกโซเชียลของจีน เข้ามาเรียกความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยด้วยเช่นกัน
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา
ให้การต้อนรับอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยวชื่อดังจากประเทศจีน
ซึ่งมียอดผู้ติดตามรวมแล้วมากกว่า 68 ล้านคน
เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน
ผ่านการประชาสัมพันธ์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน อาทิ Douyin
โดยจะร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารไทย
เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมิติที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางดิจิทัล
นายสรวงศ์ กล่าวว่า การใช้พลังของอินฟลูเอนเซอร์ในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวไทย
ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของกระทรวงฯ ในยุคดิจิทัล
โดยเฉพาะในตลาดจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพและมีศักยภาพสูง
เราหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขยายการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการเดินทางมายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ซึ่งการพบปะครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก
โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Soft Power” และการใช้เครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล
เป้าหมายของการท่องเที่ยวไทยปีนี้ คือ นักท่องเที่ยว 40 ล้านคน
เกือบสี่เดือนเราทำได้แล้วที่ 11 ล้านคน รายได้อยู่ที่ 5 แสน 4 หมื่นล้านบาท
จากเป้าของรายได้ของไทยเราที่ตั้งเอาไว้ปีนี้สูงถึง 3 ล้านล้านบาท
ระยะทาง ระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ จึงต้องเร่งเครื่องเต็มที่
ท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน ทั้งการแข่งขันกับประเทศต่างๆ
และเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐด้วย