รีเซต

หนี่ห่าว หรือหนีหาย ? ในวันที่เมืองไทย ต้องการ "นักท่องเที่ยวจีน"

หนี่ห่าว หรือหนีหาย ?  ในวันที่เมืองไทย  ต้องการ "นักท่องเที่ยวจีน"
TNN ช่อง16
8 พฤษภาคม 2568 ( 08:00 )
11

คนจีนหายไปจากเมืองไทย จากเคยมาเที่ยวเข้าประเทศสูงสุดแสนคน หรือเฉลี่ยอยู่ที่สองหมื่นคนต่อวัน

วันนี้เราเจอกับนิวโลว์ ตัวเลขต่ำสุดเพียงแค่ห้าพันคนต่อวันเท่านั้น

รุนแรงมากที่สุดในรอบหกปี ขณะที่ทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาลและเอกชน

ต่างก็พยายามงัดยาแรงออกมาสู้ หวังเรียกความเชื่อมั่นได้อีกครั้ง

เพราะตอนนี้ทุกชาติต่างๆก็เห็นคนจีนเป็นเป้าหมายหวังดึงเข้าประเทศสร้างเม็ดเงิน 


นักท่องเที่ยวจีนคือเบอร์หนึ่งที่เข้าไทยสูงสุดตลอดมา และปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น 

ล่าสุดตัวเลขนับจากต้นปีที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 20 เม.ย. 2568 

กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า เราได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยแล้วทั้งสิ้น 11,272,379 คน 

เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.52 % สร้างรายได้ 540,688 ล้านบาท 

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสูงสุด 5 อันดับแรก

อันดับ 1 จีน 1,524,697 คน

อันดับ 2  มาเลเซีย 1,401,169 คน

อันดับ 3 รัสเซีย 835,385 คน

อันดับ 4  อินเดีย 677,793 คน

อันดับ 5 เกาหลีใต้ 549,982 คน

ทั้งนี้สัปดาห์หลังสงกรานต์จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะชะลอตัวลง 


นัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 

และประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า 

สถานการณ์ตลาด “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ในช่วงที่ผ่านมา “น่ากังวลมาก” 

โดยเฉพาะ “ตลาดจีน” ที่เคยเดินทางเข้าไทยวันละ 100,000 คน 

มาตอนนี้บางวันเหลือแค่ 7,000 คน จากหลายปัจจัยด้วยกัน

เช่น ความไม่เชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย 

ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศจีน การส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของจีน 

ทำให้ตลาดจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหลักเดินทางเข้าไทยน้อยลง 

รวมถึงการปรับลดเที่ยวบินจากจีนมาไทยหลังสิ้นสุดเทศกาลตรุษจีน


ประกอบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ 2568 

พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

ได้แก่ วันที่ 10 เม.ย. มีจำนวน 9.1 หมื่นคน 

/วันที่ 11 เม.ย. มีจำนวน 1.24 แสนคน 

/วันที่ 12 เม.ย. มีจำนวน 1.22 แสนคน 

/วันที่ 13 เม.ย. มีจำนวน 9.31 หมื่นคน 

/วันที่ 14 เม.ย. มีจำนวน 7.5 หมื่นคน 

และวันที่ 15 เม.ย. มีจำนวน 6.2 หมื่นคน 

สะท้อนให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ


ทั้งนี้รายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังพบอีกว่ามีนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าไทย

 “ทำสถิติต่ำสุด”หรือนิวโลว์ ที่จำนวน 5,833 คนต่อวัน เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2568

จากค่าเฉลี่ย 15,000-20,000 คนต่อวัน 

และจากตัวเลขเหล่านี้ ทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ ททท.

จำเป็นต้องปรับแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวและมุ่งทำการตลาดแบบเจาะมากขึ้น 

ด้วยการหันไปทำตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) 

ซึ่งเป็นกลุ่มมีศักยภาพ ได้แก่ 

สวีเดน นิวซีแลนด์ คูเวต ซาอุดีอาระเบีย สหราชอาณาจักร รัสเซีย ฝรั่งเศส 

แคนาดา เยอรมนี ออสเตรเลีย สเปน และออสเตรีย 

เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตดีและเป็นแรงเสริม

ให้สถานการณ์ตลาดภาพรวมสามารถกลับเข้าสู่แดนบวกได้ 

เพราะเป็นตลาดที่มีการใช้จ่ายสูง




ศึกชิงนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นแล้ว

ในวันที่ทั่วโลกต่างก็เปิดประเทศเชิญชวนคนเข้ามาเที่ยว

เพราะต้องการเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในวันที่ภาคการส่งออกรับแรงกระแทกหนักจากนโยบายของทรัมป์

แม้กระทั่งประเทศจีนเองก็เช่นกัน ที่หวังให้คนจีนเที่ยวในประเทศมากขึ้น 


ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า 

การท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องจักรตัวสุดท้ายในการสร้างรายได้ นำเงินจากต่างชาติเข้าไทย 

แต่สิ่่งที่น่ากลัวคือ เราไม่ได้ต่อสู้แค่กับ ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม

แต่ยังมีตัวของประเทศจีนเองก็มีนโยบายดึงรั้งคนจีนให้กลับมาเที่ยวในประเทศด้วย 

และในขณะเดียวกันก็เร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวในจีนเพิ่มด้วย 

ที่สำคัญนอกจากการเปิดวีซ่าฟรี รัฐบาลจีนยังมีมาตรการการคืนภาษีให้นักท่องเที่ยวสูงถึง  13 %

แถมระบบคืนภาษีก็ง่าย สะดวก และรวดเร็ว 

เพื่อดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวช้อบปิ้ง กิน ใช้ในประเทศจีนเต็มที่ 

แบบเดียวกับที่ญี่ปุ่นทำมาแล้วประสบความสำเร็จอย่างมากคล้ายกับญี่ปุ่น 


ขณะที่ไทยเราเองก็พยายามเรียกความเชื่อมั่น และสู้ศึกในครั้งนี้เต็มที่ 

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า

ไทยเรากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเร่งหาแนวทางในการออกมาตรการซื้อของปลอดภาษี 

และการคืนภาษีแวตให้กับนักท่องเที่ยวเช่นกัน 

เพราะจีนทำแล้วประสบความสำเร็จ จนทำให้ทุกวันนี้จีนกลายเป็นคู่แข่งรายใหม่ของโลกในด้านการท่องเที่ยว 

ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความร่วมมือและช่วยแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้นร่วมกัน


นอกจากนี้ททท. ยังเดินหน้าทำการตลาดนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง 

ควบคู่กับตลาดอื่นที่มีศักยภาพสูง อาทิ ยุโรป หรือตลาดระยะไกล

ซึ่งตัวเลขเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ 

พร้อมมั่นใจว่าตลาดจีนในปีนี้ยังถือว่ามีปัจจัยเชิงบวก 

เนื่องจากเป็นปีที่มีการฉลองความสัมพันธ์ไทยจีนครบรอบ 50 ปี 

ซึ่ง ททท.เองได้จัดงานฉลองความสัมพันธ์มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา 

อาทิ ตรุษจีน มีคอนเสิร์ตศิลปินที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีนมากมาย และทำต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 

โดยแคมเปญใหญ่ที่วางแผนดำเนินการเป็นโครงการ "สวัสดี หนีห่าว" ประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวไทย 

ต่อยอดจากแคมเปญ "หนีห่าว month" ที่ดึงหลัวอวิ๋นซี นักแสดงจีนยอดนิยม 

เข้ามาเป็นสื่อกลางเผยแพร่ภาพท่องเที่ยวไทยออกไป


รวมไปถึงกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังได้ดึงการพลังจาก Soft Power

ใช้คนดังจากโลกโซเชียลของจีน เข้ามาเรียกความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยด้วยเช่นกัน 

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 

ให้การต้อนรับอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยวชื่อดังจากประเทศจีน  

ซึ่งมียอดผู้ติดตามรวมแล้วมากกว่า 68 ล้านคน 

เพื่อหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน 

ผ่านการประชาสัมพันธ์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน อาทิ Douyin

โดยจะร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารไทย

เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของประเทศไทยในมิติที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่ายผ่านช่องทางดิจิทัล


นายสรวงศ์ กล่าวว่า การใช้พลังของอินฟลูเอนเซอร์ในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวไทย

ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของกระทรวงฯ ในยุคดิจิทัล 

โดยเฉพาะในตลาดจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพและมีศักยภาพสูง 

เราหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขยายการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการเดินทางมายังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

 ซึ่งการพบปะครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก 

โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Soft Power” และการใช้เครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล 


เป้าหมายของการท่องเที่ยวไทยปีนี้ คือ นักท่องเที่ยว 40 ล้านคน

เกือบสี่เดือนเราทำได้แล้วที่ 11 ล้านคน รายได้อยู่ที่ 5 แสน  4 หมื่นล้านบาท 

จากเป้าของรายได้ของไทยเราที่ตั้งเอาไว้ปีนี้สูงถึง 3 ล้านล้านบาท

 ระยะทาง ระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ จึงต้องเร่งเครื่องเต็มที่

ท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน  ทั้งการแข่งขันกับประเทศต่างๆ 

และเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วนจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐด้วย 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง