รีเซต

ชาวจีนเชียร์มือฆ่าพ้นภัยถูกตร.ไล่ล่า ซัดหน่วยงานรัฐต้นเหตุคนไร้ทางออก

ชาวจีนเชียร์มือฆ่าพ้นภัยถูกตร.ไล่ล่า ซัดหน่วยงานรัฐต้นเหตุคนไร้ทางออก
ข่าวสด
19 ตุลาคม 2564 ( 00:05 )
31
ชาวจีนเชียร์มือฆ่าพ้นภัยถูกตร.ไล่ล่า ซัดหน่วยงานรัฐต้นเหตุคนไร้ทางออก

ชาวจีนเชียร์มือฆ่าพ้นภัยถูกตร.ไล่ล่า - วันที่ 18 ต.ค. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เกิดปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์จีน หลังผู้ใช้อินเตอร์เน็ตชาวจีนจำนวนมากร่วมส่งกำลังใจให้นายอู๋ จินจง ที่กำลังอยู่ระหว่างหลบหนีการไล่ล่าจากตำรวจมานานกว่าสัปดาห์ให้หนีรอดไปให้ได้จากคดีสังหารเพื่อนบ้านยกครัว 2 ราย บาดเจ็บอีก 3 คน โดยชาวจีนกล่าวโทษ ว่าหน่วยงานของรัฐเป็นต้นเหตุ

 

นายอู๋ เป็นชาวบ้านที่การศึกษาไม่สูงนัก อายุ 55 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยน ทางภาคใต้ของประเทศจีน ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลที่ลงมือสังหารเพื่อนบ้านยกครัวจากเหตุทะเลาะวิวาทเรื่องที่ดิน และการก่อสร้างบ้าน ซึ่งยืดเยื้อมานานหลายปีโดยปราศจากการเหลียวแลจากรัฐ

 

 

ข้อมูลสำนักงานตำรวจเขตผิงไห่ ระบุว่า นายอู๋ เป็นผู้ต้องสงสัยหลักในคดีสังหารที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 10 ต.ค. แต่ตำรวจไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดของคดี และอาวุธที่คนร้ายใช้สังหาร

 

เหยื่อผู้เสียชีวิตในคดีเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ติดกันกับที่ดินของนายอู๋ ได้แก่ ชายอายุ 70 ปี และลูกสะใภ้ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 3 คน ได้แก่ ภรรยาของชายอายุ 70 ปี หลานชายอายุ 30 ปี และเหลนสาวอายุ 10 ขวบ

 

สถานการณ์ขาดแคลนข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้บรรดาสื่อท้องถิ่นและชาวจีนนำข้อมูลต่างๆ มาปะติดปะต่อกันเอง เช่น ข้อมูลจากนายอู๋ที่เคยโพสต์ในเว่ยโป๋ และข้อมูลสัมภาษณ์จากชาวบ้านในพื้นที่ เผยให้เห็นถึงความระทมทุกข์ของนายอู๋ที่ไร้ทางออก และถูกผลักดันไปจนทะลุขีดสุด

 

ข้อมูลดิบทั้งหมดบ่งชี้ว่าแม้นายอู๋จะเผชิญกับความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านมานานหลายปีและมีชีวิตที่ยากลำบากแต่ก็เคยสร้างวีรกรรมที่น่ายกย่องไว้ เช่น เคยกระโดดลงทะเลไปช่วยเด็กชายที่กำลังจะจมน้ำเมื่อกว่า 30 ปีก่อน และเคยช่วยปลาโลมาไว้ 2 ตัว ที่เกยตื้นในพื้นที่เมื่อปี 2551

 

ข้อมูลดังกล่าวยิ่งส่งผลให้บรรดาชาวจีนที่ได้รับรู้เรื่องราวเห็นอกเห็นใจนายอู๋มากขึ้น ขณะที่อีกจำนวนมากต่างกล่าวโทษหน่วยงานรัฐที่ไม่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องร้องทุกข์ของนายอู๋ พร้อมเตือนว่าหากหน่วยงานรัฐยังมีพฤติกรรมแบบนี้ต่อไปก็จะมีเหตุการณ์แบบนี้ตามมาอีกเรื่อยๆ

 

เรื่องราวของนายอู๋เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปี โดยนายอู๋นั้นอยู่อาศัยกับแม่อายุ 89 ปี แต่ไม่มีบ้านอยู่อาศัย โดยนายอู๋เคยโพสต์ระบุว่า ตนมีเพียงกระท่อมสังกะสีเล็กๆ อยู่ริมทะเลที่เมืองปู่เทียน อย่างไรก็ตาม ซีเอ็นเอ็นไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นบัญชีผู้ใช้ของนายอู๋จริงหรือไม่

 

นายอู๋ เล่าผ่านบัญชีผู้ใช้เว่ยโป๋ไว้ว่า ตนถูกเพื่อนบ้านขัดขวางทำให้ไม่สามารถปลูกบ้านได้เนื่องจากขัดแย้งกันกับเพื่อนบ้านเรื่องขอบเขตที่ดิน โดยตนพยายามแก้ไขปัญหาอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่สำเร็จจนยืดเยื้อยาวนานหลายปี

 

เหตุการณ์เริ่มตั้งแต่นายอู๋ตัดสินใจทุบบ้านของตัวเองทิ้งเพื่อปลูกใหม่เมื่อปี 2560 โดยได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐแล้วให้สามารถปลูกบ้านหลังใหม่ได้ แต่หลังจากทุบบ้านไปแล้ว ทุกครั้งที่พยายามปลูกบ้านใหม่ก็จะถูกเพื่อนบ้านครอบครัวนี้ยกพวกมาขัดขวางตลอดเวลา

 

นายอู๋ ระบายความอัดอั้นผ่านเว่ยโป๋ไว้ว่า ตนเคยไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ และผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนสื่อ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แม้แต่เพื่อนบ้านในละแวกที่มาช่วยกันเจรจาก็ไม่เป็นผลจนเวลาล่วงเลยมาหลายปี

 

กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายมาถึงในวันที่ 10 ต.ค. เกิดลมพายุรุนแรงจากไต้ฝุ่นส่งผลให้กระท่อมสังกะสีของนายอู๋เสียหายอย่างหนัก และชิ้นส่วนถูกลมพัดเข้าไปยังสวนของเพื่อนบ้านรายนี้ นายอู๋ จึงเดินเท้าเข้าไปเก็บเอาเศษวัสดุกลับมาเพื่อซ่อมแซม

 

ทว่า นายอู๋กลับต้องพบกับเพื่อนบ้านและกลายเป็นการด่าทอกันจนสถานการณ์ลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งทางตำรวจไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใดๆ

 

ภาพกระท่อมที่สังกะสีที่ถูกลมพายุสร้างความเสียหายของนายอู๋ยังถูกนำมาเผยแพร่ไปในโลกออนไลน์จีน เผยให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของนายอู๋ที่มีเพียงสังกะสีคุ้ม และถุงพลาสติกบุผนังภายในเพื่อกันลมไม่ให้เหน็ดหนาว สร้างอยู่บนกองสิ่งก่อสร้าง ขณะที่เพื่อนบ้านที่มีเรื่องด้วยนั้นมีบ้านหลังใหญ่สูงถึง 4 ชั้น

 

อย่างไรก็ตาม พยานที่เป็นชาวบ้านในละแวก ระบุว่า นายอู๋ อยู่อาศัยเพียงลำพังในกระท่อม ไม่ได้อยู่อาศัยกับแม่ตามข้อมูลข้างต้นมาตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ชาวจีนที่พบเห็นสภาพดังกล่าวผ่านโลกออนไลน์ต่างแสดงความเห็นใจนายอู๋ และแสดงความเดือดดาลต่อการไม่เหลียวแลของเจ้าหน้าที่

 

ขณะที่บรรดาญาติของเพื่อนบ้านนายอู๋ที่ถูกสังหารต่างปฏิเสธ ว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตไม่ได้มีอุปนิสัยชอบกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น

 

สำนักข่าวท้องถิ่น ระบุด้วยว่า ภายในกระท่อมสังกะสีพังๆ ของนายอู๋นั้นพบซองบุหรี่เปล่าจำนวนมากที่นายอู๋เก็บไว้ใช้จดเบอร์โทรศัพท์เพื่อใช้ขอความช่วยเหลือ เช่น หน่วยงานพรรคคอมมิวนิสต์ หน่วยงานรัฐ สื่อมวลชน และนักเคลื่อนไหวทางสังคม

 

ผู้ใช้คนหนึ่งในเว่ยโป๋ ระบุว่า "สังคมที่ปกติไม่ควรต้องบีบคั้นให้พลเมืองดีผู้ปฏิบัติตามกฎหมายต้องหมดสิ้นทางออกจนต้องก่ออาชญากรรม เพราะหากการที่กฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมดยังไม่สามารถปกป้องสิทธิของเราได้ ทางออกที่เค้าเหลืออยู่ก็ย่อมได้รับความเห็นใจจากปวงชน"

ความอัดอั้นของนายอู๋ได้รับการบอกเล่าผ่านเว่ยโป๋อย่างหมดเปลือกจากบัญชีผู้ใช้ที่นายอู๋เปิดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีเพื่อให้สังคมรับทราบและช่วยเหลือ

"รัฐบาลไม่ใช่มีอยู่เพื่อปกป้องคนธรรมดาอย่างเราเหรอครับ ทำไมคนมีเงินถึงได้ยะโสโอหังกันนัก" นายอู๋ตัดพ้อ พร้อมกับติดแฮชแท็กหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานท้องถิ่น

"คนปกติธรรมดาทั่วไปเค้าปฏิบัติตามกฎหมายกัน แต่กฎหมายกลับไม่เคยยืนเคียงข้างคนที่ซื่อสัตย์เลย ผมหวังว่าจะมีใครบอกผมได้ว่าต้องไปร้องเรียนกับใครที่ไหนได้อีก ผมไปมาทั้งระดับเขต และมณฑล ทั้งไปเอง ทั้งเขียนจดหมาย ทั้งโทรศัพท์ไป แต่ไม่มีใครตอบผมเลย ได้โปรดเถอะครับ บอกผมทีเถอะว่าผมต้องไปต่อยังไง" นายอู๋ ระบุ

รายงานระบุว่า นายอู๋ยังใช้บัญชี วีแชท เผยแพร่เอกสารร้องเรียนที่ส่งไปยังเว็บไซต์ข่าวของหน่วยงานระดับมณฑล และอีกโพสต์หนึ่งนั้นติดแฮชแท็กนายกเทศมนตรีเมืองปู่เทียนพร้อมข้อความว่า "สวัสดีครับท่านนายกฯ ผมเรียนมาไม่สูง แต่หากท่านเห็นข้อความผม ช่วยผมหน่อยนะครับ ได้โปรดเถอะ" ทว่า ข้อความขอนายอู๋แทบไม่มีคนกดไลค์ หรือมีใครสนใจ

กรณีทั้งหมดของนายอู๋เพิ่งกลายเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางหลังรายงานข่าวการระดมกำลังออกไล่ล่านายอู๋ของตำรวจ ในฐานะผู้ต้องสงสัยก่อเหตุสังหารข้างต้น เมื่อ 10 ต.ค. โดยภาพสุดท้ายจากกล้องนิรภัยเป็นภาพที่นายอู๋สวมเสื้อคอกลม กางเกงขาสั้น หลบหนีเข้าป่าทึบไป

ต่อมาบัญชีผู้ใช้ของนายอู๋ก็หายไปจากระบบในวันที่ 12 ต.ค. หลังโพสต์ทั้งหมดของนายอู๋ส่งผลให้ชาวจีนแสดงความเดือดดาลต่อหน่วยงานท้องถิ่น ขณะที่หน่วยงานดังกล่าวเผยแพร่แถลงการณ์ว่าจะดำเนินการสอบสวนการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด

หลังบัญชีผู้ใช้ของนายอู๋หายไป แฮชแท็กที่เป็นชื่อของบัญชีผู้ใช้นายอู๋ มีผู้เข้ามาอ่านกว่า 7 ล้านครั้งในเว่ยโป๋ แต่แฮชแท็กดังกล่าวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในวันถัดมา สร้างความโกรธแค้นให้ชาวจีนต่อหน่วยงานรัฐที่เซ็นเซอร์และเป็นต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ หน่วยงานท้องถิ่นเขตผิงไห่ ยังประกาศรางวัล 1 แสนบาท ให้ผู้ที่นำเบาะแสมาให้เจ้าหน้าที่ และกว่า 2.6 แสนบาท สำหรับผู้ที่มีหลักฐานพิสูจน์ว่านายอู๋เสียชีวิต แต่กลับยิ่งส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านจากชาวจีน จนต้องรีบนำประกาศเงินรางวัลออกไป

"รางวัลว่าเค้าตายสูงยิ่งกว่ารางวัลแบบจับเค้าเป็นๆ นี่แน่ใจว่าเป็นประกาศจากรัฐเหรอ" และมีผู้มากดไลค์กว่า 6 หมื่นครั้ง ขณะที่คอมเมนต์อันดับหนึ่งเป็น "เพราะว่าคนตายมันพูดอะไรไม่ได้ยังไงล่ะ"

นายหลิว เสี่ยวหยวน ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกระแสความเห็นอกเห็นใจนายอู๋ว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

"ประชาชนทั่วไปเค้าทราบดีครับถึงเรื่องที่คุณอู๋ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา แล้วคนเค้าก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องการสังหาร แต่เค้ากำลังโกรธแค้นต่อความล้มเหลวของหน่วยงานรัฐบาลซึ่งต้องมีหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือและแก้ไขให้เค้าต่างหาก"

นายหลิว ระบุว่า ปัญหาทะเลาะกันเรื่องที่ดินนั้นเกิดขึ้นบ่อยในจีน นี่เป็นบทเรียนครั้งรุนแรงสำหรับรัฐ ว่าหากปล่อยปละละเลยความขัดแย้งและความทุกข์ยากของประชาชน มันก็จะบานปลาย ซึ่งกรณีของนายอู๋นั้นคงไม่มาถึงขั้นนี้ หากหน่วยงานรัฐเข้ามาดูแลแต่แรก

อย่างไรก็ดี อีกกระแสหนึ่งนั้นเรียกร้องให้นายอู๋มอบตัวเพื่อต่อสู้คดี และขอให้ชายหนุ่มนิรนามที่นายอู๋เคยช่วยชีวิตไว้ปรากฎตัวออกมาตอบแทนบุญคุณของนายอู๋ด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง