พิกซิส โอเชียน (Pyxis Ocean) คือชื่อของเรือบรรทุกที่กำลังจะกลายเป็นเรือบรรทุกสินค้าลำแรกของโลกที่ใช้พลังงานลมช่วยเดินเรือจริง ด้วยใบเรือยุคใหม่ที่มีความสูงเทียบได้กับอาคารทั่วไปที่สูง 10 ชั้น ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลล้วนในอดีต

ข้อมูลเรือพลังงานลม Pyxis Ocean

พิกซิส โอเชียน (Pyxis Ocean) เป็นเรือบรรทุกสินค้าจากบริษัทเดินเรือ คาร์กิลล์ โอเชียน ทรานสปอร์เทชัน (Cargills Ocean Transportation) หนึ่งในบริษัทเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติอังกฤษ ที่ได้รับการดัดแปลงให้ติดตั้งวินด์วิงส์ (WindWings) ใบเรือแบบสมัยใหม่ที่เป็นตัวรับลมและใช้ช่วยขับดันเรือ โดย Pyxis Ocean จะติดตั้ง WindWings ทั้งหมด 2 ใบ แต่ละใบมีความสูง 37.5 เมตร และมีความกว้างส่วนใบหลักอยู่ที่ 10 เมตร และส่วนที่ยื่นขยายซึ่งปรับองศาได้ 2 ฝั่ง ของตัวใบ ซึ่งแต่ละฝั่งนั้นกว้าง 5 เมตร โดยวางชุดใบเรือไว้ที่บริเวณค่อนไปทางหัวเรือทั้งคู่

ตัวใบเรือใช้วัสดุแบบเดียวกับที่ใช้ในใบพัดกังหันลม เพื่อให้ตัวใบเรือสามารถดักรับแรงลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลิตตัวใบเรือและเรือที่อู่ต่อเรือในประเทศจีน พร้อมพัฒนาให้ใบเรือสามารถติดตั้งเข้าตัวเรือบรรทุกสินค้าใด ๆ ก็ได้ที่ต้องการประหยัดพลังงานด้วยการหันมาใช้พลังงานลมแล่นเรือในอนาคต

การพัฒนาและการเดินเรือ Pyxis Ocean

Pyxis Ocean จะเดินทางเที่ยวแรกจากอู่ต่อเรือในจีน ไปยังประเทศบราซิล โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ในฐานะการเดินเรือทดสอบ และถ้าหากประสบความสำเร็จ ใบเรือแต่ละใบจะช่วยลดการใช้น้ำมันได้ถึง 1.5 ตันต่อวัน หรือคิดเป็นค่าน้ำมันประมาณ 900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 32,000 บาท ซึ่งเป็นการลดการใช้เชื้อเพลิงได้ถึงร้อยละ 30 ของเชื้อเพลิงที่ใช้เดิม และจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณเดียวกันด้วย

Pyxis Ocean เปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 และดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอน โดยการติดตั้งครั้งนี้เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างคาร์กิลล์ วินด์วิงส์ กับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเรืออย่างบาร์ เทคโนโลยี (BAR Technologies) ที่ต่อเรือ Pyxis Ocean และมิตซูบิชิ (Mitsubishi) และยารา มารีน (Yara Marine) ที่มีส่วนการพัฒนาระบบใบเรือ โดยถือเป็นหนึ่งในพันธกิจร่วมกันของกลุ่มบริษัทเดินเรือทั่วโลกที่ต้องการผลักดันการเดินเรือไปสู่การปล่อยคาร์บอนรวมเป็นศูนย์ (net-zero carbon) ภายในปี 2050

ที่มาข้อมูล Reuters, BBC, Offshore Energy, Engadget

ที่มารูปภาพ Cargill