รีเซต

จากโลกาภิวัตน์สู่โลกหลายเส้นทาง ไทยต้องเลือกเป็น “จุดเชื่อม” ไม่ใช่ผู้ตาม

จากโลกาภิวัตน์สู่โลกหลายเส้นทาง ไทยต้องเลือกเป็น “จุดเชื่อม” ไม่ใช่ผู้ตาม
TNN ช่อง16
9 กันยายน 2568 ( 12:25 )
11

งานสัมมนา Transforming Thailand จัดโดย สถานีข่าวโทรทัศน์ TNN ช่อง 16 เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี ได้เปิดเวทีใหญ่ในหัวข้อ ประเทศไทย 2035 อ่านเกมภูมิรัฐศาสตร์โลกในทศวรรษใหม่ โดยมีนักวิชาการและผู้บริหารระดับแนวหน้า ได้แก่

  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร นักวิชาการด้านจีน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้าน Future Economy สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
  • ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์
  • คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร กล่าวว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นการแข่งขันระยะยาวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้จะมีการเจรจาระยะสั้น แต่แนวโน้มการตั้งกำแพงภาษีและการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศยังดำเนินต่อ โดยมองว่าโลกกำลังเข้าสู่ช่วงแข่งขันเชิงโครงสร้างที่ยาวนานกว่า 30 ปี ไทยจึงต้องวางยุทธศาสตร์คัดกรองการลงทุนจากจีนให้ได้ทุนที่มีคุณภาพ และใช้โอกาสสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่เชื่อมโยงกับการผลิต เทคโนโลยี และซอฟต์พาวเวอร์สินค้า

ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อธิบายว่า ยุคทองของการค้าเสรีที่เคยเป็นเสาหลักของโลกาภิวัตน์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และทศวรรษข้างหน้าจะเป็นยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ไทยต้องเรียนรู้และปรับตัว เขามองว่าอนาคตของโลกการค้าจะมีความสำคัญใน 3 มิติหลัก

ประการแรก การค้าโลกจะไม่เป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมโยงทั้งหมดอีกต่อไป แต่จะเกิดเป็นเครือข่ายหลายเส้นทาง ประเทศอย่างไทยจึงต้องหาทางยืนอยู่ใน “จุดเชื่อม” เพื่อรักษาบทบาททางยุทธศาสตร์ ไม่เช่นนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ประการที่สอง โลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นหลายขั้ว เดิมทีแบ่งเพียงสามส่วน แต่ปัจจุบันมีอย่างน้อยสี่ส่วน ได้แก่ ตลาดจีนซึ่งมีบทบาทสูงในฐานะศูนย์กลางซัพพลายเชน, ตลาดสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้บริโภครายใหญ่ และกลุ่มประเทศที่เหลือกว่า 55% ของเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็น “พื้นที่สร้างมิตรภาพใหม่” ของไทย เขาย้ำว่านี่คือโอกาสสำคัญที่ไทยต้องเร่งเจรจาและสร้างพันธมิตรใหม่ ไม่เพียงกับมหาอำนาจแต่รวมถึงยุโรปและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ด้วย

ประการที่สาม รูปแบบการค้าในอนาคตจะไม่จำกัดแค่สินค้า แต่จะขยายสู่บริการ โดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว ซึ่งยังคงเติบโตได้ดีกว่าการค้าสินค้าทั่วไป ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่าการท่องเที่ยวโลกฟื้นตัวเร็วและขยายตัวสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 นี่จึงเป็นพื้นที่ที่ไทยควรใช้ความได้เปรียบด้านบริการต่อยอดเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ในฐานะผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า โลกในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุคหลายขั้วอย่างชัดเจน ปัจจุบันโลกแบ่งออกเป็น “ขั้วน้ำเงิน” คือสหรัฐอเมริกา, “ขั้วแดง” คือจีน และ “ขั้วเทา” ที่ไทยยืนอยู่ตรงกลาง ซึ่งแม้ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการเป็นสะพานเชื่อม แต่ความซับซ้อนของการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจย่อมกระทบต่อธุรกิจและประชาชนโดยตรง

โดยระบุว่า นัยยะสำคัญที่ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังมี 4 ประการ ได้แก่

ทิศทางการลงทุนโลก ที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เค้กเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง แต่เมื่อภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง กลับทำให้เค้กเล็กลง และการค้าระหว่างขั้วลดน้อยลง ขณะที่การค้าภายในขั้วหรือระหว่างประเทศพันธมิตรใกล้ชิดจะเพิ่มความสำคัญ

การเปลี่ยนศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก ซึ่งไม่กระจุกตัวเหมือนเดิม แต่เคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่อง ไทยจึงต้องจับตาเพื่อไม่ให้พลาดการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์

การลดลงของความร่วมมือระหว่างประเทศ อันเนื่องมาจากค่านิยมที่เปลี่ยนไป แต่ละประเทศต่างพยายามปกป้องผลประโยชน์ตัวเองมากขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลก โดยเฉพาะการที่สหรัฐอเมริกาใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้เกิดกระแส “การลดบทบาทดอลลาร์” หรือ de-dollarization ซึ่งกำลังเร่งตัวขึ้น และสร้างความเสี่ยงใหม่ให้กับการค้าการลงทุน

ในมุมภาคธุรกิจ คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เห็นว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้วัฏจักรเศรษฐกิจสั้นลงและเปลี่ยนเร็วขึ้น ประเทศไทยต้องปรับตัวเชิงรุก ไม่ยอมเป็นผู้ตาม แต่ใช้โอกาสดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือแพทย์ โลจิสติกส์อัจฉริยะ และพลังงานสะอาด ควบคู่กับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับความเปลี่ยนแปลง


นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนายังมองตรงกันว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ต้องเร่งฟื้นพลังความร่วมมือ หลังวิกฤตโควิด–19 ที่หลายประเทศต่างหันมาดูแลตัวเอง กลไกการรวมตลาดและการสร้างมาตรฐานร่วมจึงเป็นการบ้านสำคัญ ไทยควรเปลี่ยนจากการรับเป็นการรุก ใช้จังหวะที่สหรัฐอเมริกาและจีนต่างต้องการพันธมิตร เพื่อยกระดับห่วงโซ่อุปทาน การเงินดิจิทัล และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของภูมิภาค

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง