เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น-บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่ง Sideways Up ได้ต่อเนื่องและมีแนวโน้มกลับมายืนเหนือแนวต้านหลัก 1,350 จุดได้อีกครั้ง จากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายมากขึ้นและเม็ดเงินไหลกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น โดยได้แรงหนุนจากสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่านปัจจุบันยังไม่ได้บานปลายและมีการตอบโต้รอบใหม่ ขณะที่สัปดาห์นี้ตลาดรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ GDP 1Q24 และเงินเฟ้อ PCE เดือน มี.ค. ในช่วงวันพฤหัสฯและศุกร์ ตามลำดับ
รวมถึงตลาดคาดว่าจะโฟกัสที่การประกาศผลประกอบการ 1Q24 ของฝั่ง Real Sector ที่จะเริ่มทยอยออกมาในสัปดาห์นี้ หลังจากกลุ่มธนาคารรายงานครบแล้วซึ่งโดยรวมออกมาดีกว่าคาด กลยุทธ์เราจึงเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นกว่าตลาดและกระทบจากความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกจำกัด เรายังมองกลุ่ม Domestic Play ยังน่าสนใจ โดยคาดได้อานิสงส์เชิงบวกจากทิศทางเศรษฐกิจที่จะทยอยเร่งตัวใน 2Q24-2H24 ตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 นโยบายดิจิทัลวอลเลตที่จะเริ่มใช้จ่ายใน 4Q24
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไร 1Q24 โดดเด่น // ส่วนที่สะสมไปแล้วบริเวณ 1,350+- ยังถือลงทุน
หุ้นเด่นเดือน เม.ย.: BA, CPALL, CPN, ITC, TIDLOR
FSSIA Portfolio : AOT, BCH, CPALL, CPN, GPSC, NSL, SHR, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : OSP
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท
แนวโน้มกำไร 1Q24 ดูดีกว่าที่เคยคาด โดยประเมินใหม่ที่ 812 ลบ. +88% q-q, +4% y-y จากรายได้ที่คาดทำทำนิวไฮรอบ 8 ไตรมาส +12% q-q และ y-y จากทั้งในประเทศโตในอัตราสองหลัก ฝั่ง Energy drink ที่ได้ Market share ขึ้นมาเป็น 46.4% จาก 45.9% ใน 4Q23 และพม่าโตแรงกว่า 30% y-y จากทั้งฝั่ง Volume และ Price แม้จะมีความไม่สงบในพม่า แต่รายได้ที่ผลิตในประเทศยังทำได้ดีมาก
แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นคาดขยับขึ้นต่อเป็น 35.7% จาก 35.5% ใน 4Q23 และ 33.4% ใน 1Q24 ได้อานิสงส์จากการหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไป และต้นทุนก๊าซปรับลง เราเริ่มเห็นประมาณการต่อกำไรปี 2024 จากปัจจุบันที่คาดไว้ 2.62 พันลบ. +21% y-y
แนวรับ 20//19.60 บาท แนวต้าน 20.80-21 บาท
**บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ยังมีแรงส่งต่อ สถานการณ์อิสราเอล-อิหร่านคลี่คลาย แต่นักลงทุนยังคงต้องดูท่าทีของ Fed ต่อไป ทั้งนี้ สถานการณ์ตะวันออกกลาง ไม่ปรากฎความรุนแรงตั้งแต่ช่วงวันหยุด จนถึงคืนที่ผ่านมา ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน อิสราเอลหันมาให้ความสนใจกับกลุ่มฮามาสเหมือนเดิม ความกังวลของตลาดจะลดลง อย่างไรก็ตาม เรายังวางใจไม่ได้มากนักและควรพร้อมขาย หากอิสราเอลโจมตีอิหร่านอีกครั้ง ระหว่างนี้ตลาดหุ้นมีโอกาส rebound ต่อ จากที่ลงมาก่อนเกิดเรื่องนี้ที่ 1400 จุด โดยเราประเมินการดีดตัวรอบนี้ สูงสุดไว้ที่ระดับ 1370 จุด
การที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed ออกมาแสดงความเห็นต่อการลดดอกเบี้ยว่า ปีนี้อาจเหลือเพียง 0-2 ครั้ง มีผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก มา 2 สัปดาห์แล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ จะกดดันตลาดไปอีกระยะ และอาจเป็นตัวแปรที่ทำให้ดัชนีฯ ขึ้นไปเหนือ 1400 จุด ได้ยากขึ้น
การอ่อนค่าของเงินบาท (37.00 บาท/ดอลล่าร์) เช่นเดียวกับเงินเอเซียอื่น เช่น เงินเยน(154) และหยวน(7.24) หลักๆ มาจาก ดอลล่าร์ที่แข็งค่าขึ้น (ความเสี่ยงสงคราม และ Fed ลดดอกเบี้ยช้า) จะดึงเงินทุนต่างประเทศให้ไหลออก หรือชะลอการซื้อไปอีกระยะ...... แต่อาจจะดีต่อหุ้นส่งออก (เราชอบ ITC)
บริษัทในตลาดหุ้นทั่วโลก กำลังทยอยรายงานผลประกอบการ โดย 2 กลุ่มหลักๆ (ในต่างประเทศ) ที่จะออกงบก่อน คือ สถาบันการเงินและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี่ โดยกลุ่มเทคโนโลยี่ ทั้งไต้หวัน+สหรัฐฯ ออกมาแล้วราคาหุ้นลง อาจกระทบมาถึงหุ้นของไทยด้วย (KCE, HANA, DELTA, CCET)
'รมว.แรงงาน' จัดบิ๊กเซอร์ไพรส์! มอบของขวัญรับวันแรงงาน 1พ.ค.นี้ ดัน 'ค่าแรงขั้นต่ำทั่วไทย 400 บาท' เร็วขึ้นจากแผนงานเดิม ….. เรามองว่า ข่าวนี้ เป็นลบต่อตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่ใช้แรงงานมาก เช่น รับเหมาฯ อสังหาฯ ร้านอาหาร
• Event สำคัญๆ วันนี้ : SCGP ส่งงบ และ ประชุม ครม. คาดหารือแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท คาดที่ประชุมเตรียมรับทราบมติบอร์ด เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดเงื่อนไขโครงการ และการจัดหาแหล่งเงิน 5 แสนล้านบาท
Strategy
ตลาดยังน่าจะ rebound ต่อ แต่ความแรงจะลดลง เพราะจะมีแรงขายทำกำไรช่วงสั้นปนเข้ามา กลยุทธ์ สั้นๆเล่น rebound ได้ต่อ ส่วนผู้รอเก็บหุ้น อาจเลือกจาก list ที่เราให้ไว้ได้
การเลือกหุ้น สำหรับการเล่นเพื่อรับการ rebound เราคัดหุ้นใหญ่ จาก SET50 3 ตัวราคาลงมาก/3 ตัวที่ราคาแข็งแกร่ง ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา (ไม่รวม PTTEP) โดย 3 ตัวลงมาก คือ EA, GPSC, BGRIM และ 3 ตัวราคาแข็งแกร่ง คือ BDMS*, TISCO, BH*
หุ้นกลุ่มธนาคาร รายงานกำไรออกมาแล้ว ภาพรวมฟื้น qoq เราเน้นเก็บบางตัวที่มีปัจจัยบวก และอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดีช่วยหนุน คือ SCB, KTB
มองหุ้น+สินทรัพย์ ที่เป็นลบหากสถานการณ์ตะวันออกกลางคลี่คลาย คือ PTTEP และราคาทองคำ
กลับมามองหา Sector ที่คาดว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญ หรือมีมาตรการสนับสนุน เราเล็งไว้ 2 กลุ่ม คือ การบิน (AOT, AAV) และกลุ่มที่รับประโยชน์จากการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ (WHA, ROJNA*)
หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ KTB, BDMS* เข้ามาในพอร์ต โดยหุ้นในพอร์ต ประกอบด้วย KTB(10%) และ BDMS*(10%)
Technical : XO, AAI
บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET มีโอกาสฟื้นตัว โดยมีแนวรับ 1,340 แนวต้าน 1,360 หลังความเสี่ยงในตะวันออกกลางลดลง และรอประเมิน US PCE มี.ค. กับโอกาสเฟดจะลดดอกเบี้ย แนะนำทยอยซื้อกลุ่มค้าปลีก CPALL,CPAXT,BJC/ อาหาร & เครื่องดื่ม CPF,CBG,OSP ซึ่งเป็นกลุ่มปลอดภัยและคาดกำไรฟื้นตัวได้ดีจากอุปสงค์ในประเทศ
SCGP* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 39.50 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 1Q67 ฟื้นตัวได้ดีทั้ง QoQ, YoY ตามทิศทางเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคที่ดีขึ้น ส่งผลบวกต่อปริมาณขายบรรจุภัณฑ์และอัตราการใช้กำลังการผลิต ขณะที่ต้นทุนพลังงานและ SG&A ลดลง ส่วนแนวโน้ม 2Q67 คาดยังมีทิศทางประคองตัวได้ต่อเนื่องจาก 1Q67 จากภาวะ oversupply ในตลาดที่ผ่อนคลายลงบ้าง ทำให้สามารถขยับราคาได้ ช่วยชดเชยปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดเยอะ ทั้งนี้ในปี 67-68 ตลาดคาดกำไรสุทธิที่ 6.1 พันล้านบาท +16%YoY และ 7 พันล้านบาท +16%YoY
PR9* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 21.80 บาท) ประเมินการดำเนินงานใน 1Q67 มีแรงหนุน YoY จากการฟื้นตัวของผู้ป่วยชาวจีน(ตามตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาในไทย) ขณะที่ฝั่งผู้ป่วยไทยยังโดดเด่นในเรื่องโรคไตและได้ประโยชน์จากตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ของไทยที่สูงขึ้น YoY ด้านPR9*เอง ปี67 นี้ ตั้งเป้ารายได้เติบโต +12%YoY พร้อมทั้งทำการตลาดไปหาผู้ป่วยต่างชาติมากขึ้น(กัมพูชา, พม่า, ลาว, จีน, และกลุ่มใหม่-ชาติอาหรับ) ทั้งนี้ตลาดคาด กำไรสุทธิ ปี67 และ ปี68 จะขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 581 ลบ.(+4%YoY) และ 687 ลบ.(+18%YoY) ตามลำดับ