Entertainment complex นายกสั่งลุย โปรเจ็กต์แสนล้าน เปลี่ยนไทยให้คึกคักทั้งปี

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจของประเทศไทย รัฐบาลกำลังเดินหน้าใช้ทุกกลไกเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ล่าสุดในการกล่าวปาฐกถาพิเศษบนเวที “Mission Thailand – ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ” เมื่อค่ำวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศชัดว่า หนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในระยะยาวคือ “Entertainment Complex” หรือโครงการสถานบันเทิงครบวงจร ที่จะยกระดับการท่องเที่ยวของไทยให้คึกคักตลอดทั้งปีโดยไม่มีโลว์ซีซั่น
นายกรัฐมนตรีระบุว่า Entertainment Complex จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ที่เปิดให้เอกชนลงทุนทั้งหมด โดยรัฐทำหน้าที่เก็บภาษีและดูแลกฎหมาย กาสิโนอาจเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโครงการ แต่จะไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยโครงการจะออกแบบให้เหมาะกับทุกกลุ่มครอบครัว ทั้งโรงแรม สวนน้ำ ห้างสรรพสินค้า พื้นที่จัดคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ โดยอ้างอิงต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และ UAE
ผลการศึกษาของกระทรวงการคลังชี้ว่า Entertainment Complex จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศอย่างน้อย 4 มิติหลัก ได้แก่ การสร้างงาน การเพิ่มรายได้ให้รัฐ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมิติแรกคือ “การสร้างงาน” คาดว่าจะเกิดการจ้างงานโดยตรงไม่ต่ำกว่า 9,000–15,300 ตำแหน่ง และมีการจ้างงานแฝงในภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่โรงแรม ขนส่ง อีเวนต์ ไปจนถึงธุรกิจค้าปลีกในท้องถิ่น อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมบริการสมัยใหม่
ในด้านรายได้รัฐ กระทรวงการคลังคาดว่าโครงการนี้จะสร้างรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 12,000–39,000 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมจากพื้นที่กาสิโน คาดว่าจะเก็บได้ปีละไม่ต่ำกว่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งรายได้เหล่านี้จะนำไปใช้สนับสนุนนโยบายสวัสดิการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในระยะยาว
ขณะที่มิติที่สาม คือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยโครงการหนึ่งแห่งจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวสูงสุดปีละกว่า 238,000 ล้านบาท
และมิติประการสุดท้ายคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น 5–10% ต่อปี และเพิ่มการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นถึง 13% พร้อมทั้งเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวจาก 44,000 บาท เป็นมากกว่า 66,000 บาท ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น