"Huawei" แซง "Apple" ครองเบอร์ 1 สมาร์ตวอตช์โลก

ขณะนี้ สมาร์ตวอตช์ (Smartwatch) แบรนด์จีนกำลังมีบทบาทมากขึ้นในตลาดโลก เห็นได้จากรายงานล่าสุดของบริษัทวิจัยตลาด Counterpoint Research พบว่า หัวเว่ย มีส่วนแบ่งตลาดการจัดส่งทั่วโลก สูงถึงร้อยละ 21 ในไตรมาส 2 ปี 2025 ที่ผ่านมา และก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ตวอตช์ แซงหน้า แอปเปิล เป็นครั้งแรก ซึ่ง แอปเปิล มีส่วนแบ่งตลาด อยู่ที่ร้อยละ 17
ทั้งนี้ จากข้อมูล จะเห็นได้ว่า แบรนด์จีน ทั้ง หัวเว่ย, ไอโม่ (IMOO) และเสียวหมี่ ต่างก็มีการจัดส่งทั่วโลก เติบโตขึ้น โดยไตรมาส 2 การจัดส่งสมาร์ตวอตช์ของ หัวเว่ย เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 52 ส่วน เสี่ยวหมี่ เติบโตร้อยละ 38 และมีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับ 3 ที่ร้อยละ 9 (รองจากหัวเว่ย และแอปเปิล)
ไอโม่ เป็นแบรนด์สมาร์ตวอตช์จากจีน อีกแบรนด์ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับ 4 ที่ร้อยละ 7 และมีการเติบโตถึงร้อยละ 21
ส่วนแอปเปิล แม้จะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่อันดับ 2 แต่ยอดการจัดส่งทั่วโลกลดลง ร้อยละ 3 ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และ ซัมซุง ยอดจัดส่งลดลงร้อยละ 3 และมีส่วนแบ่งตลาด อยู่อันดับ 5 สัดส่วนร้อยละ 6
Anshika Jain นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการวิจัย เคาน์เตอร์พอยต์ กล่าวว่า หัวเว่ยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดได้อย่างน่าทึ่ง และเติบโตสูงที่สุดในบรรดา 10 แบรนด์ชั้นนำของโลก โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลาย, การเติบโตที่แข็งแกร่งภายในประเทศเอง และราคาแข่งขันได้ในตลาดระดับกลาง ไปจนถึงพรีเมียม
เหล่านี้ เป็นปัจจัยทำให้ หัวเว่ย สามารถแซงหน้าแอปเปิล ขึ้นเป็นผู้นำด้านยอดจัดส่งทั่วโลกได้เป็นครั้งแรก ซึ่งยอดจัดส่งกว่า 3 ใน 4 ของหัวเว่ย กระจุกตัวอยู่ในประเทศจีน และราคาจำหน่ายส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่าง 100-400 ดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนว่า หัวเว่ย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและโดนใจผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม
ขณะเดียวกัน ก็ค่อย ๆ ขยายฐานลูกค้าไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก เพื่อขยายฐานผู้ใช้งานในระดับโลก
ส่วน แอปเปิล พบว่า ยอดขายสมาร์ตวอตช์ทั่วโลก ลดลงเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน และแม้ว่าจะเสียตำแหน่งผู้นำไป แต่ แอปเปิลก็ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดพรีเมียม ด้วยปัจจัยด้านความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ iOS และความภักดีของผู้ใช้ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากเคาน์เตอร์พอยต์ ระบุว่า การถดถอยของทั้ง แอปเปิล และ ซัมซุง นั้นส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคชะลอการซื้อ เพื่อรอการเปิดตัวอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ด้วย
ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของ แอปเปิล วอตช์ (Apple Watch) และ กาแลคซี วอตช์ (Galaxy Watch) ของซัมซุง ที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพัฒนารุ่นต่อไปจากทั้งสองแบรนด์ และอาจกลับมาสร้างแรงผลักดันได้อีกครั้ง
ขณะที่แบรนด์จีนเอง วางบทบาทตัวเองเป็นผู้ท้าชิงในระดับโลก ด้วยการเข้าสู่วงจรนวัตกรรม ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับ สุขภาพ และ เอไอ จะเป็นตัวกำหนดความแตกต่างในระยะยาว
ด้านภาพรวมตลาดสมาร์ตวอตช์ ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ถือเป็นการฟื้นตัวของตลาดสมาร์ตวอตช์ทั่วโลก หลังจากหดตัวติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2567
ตลาดจีนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเติบโตดังกล่าว และตามรายงานของ เคาน์เตอร์พอยต์ พบว่า จีน กลายเป็นตลาดสมาร์ตวอตช์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แซงหน้า อเมริกาเหนือ เป็นครั้งแรกอีกด้วย
โดยตลาดสมาร์ตวอตช์จีน เติบโตถึงร้อยละ 33 มีปัจจัยบวกหลักมาจากความใส่ใจในสุขภาพของผู้บริโภคชาวจีน มีมากขึ้น และความต้องการใช้งานสมาร์ตวอตช์ ที่ให้เป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ ส่วนบุคคล ไม่ว่าจะรับสายโทรศัพท์ เชื่อมต่อกับแอปสุขภาพ วัดชีพจร ดูเวลา นำทาง หรือแม้แต่การชำระเงิน เป็นต้น
โดยอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถใช้งานได้หลากหลายผ่านการ บูรณาการของปัญญาประดิษญ์ (AI) และ IoT
Balbir Singh นักวิจัย เคาน์เตอร์พอยต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในตลาดจีนมีตัวเลือกที่หลากหลาย โดยเฉพาะตัวเลือกด้านราคา ทำให้สามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม ตลอดจนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ตรงเป้าหมาย
ส่วนการผสานรวมกันของระบบนิเวศในท้องถิ่น ช่วยยกระดับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การชำระเงินไป จนถึงการติดตามสุขภาพส่วนบุคคล จึงทำให้สมาร์ตวอตช์ กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้บริโภคทุกระดับ
ขณะที่ตลาดอื่น ๆ ส่วนใหญ่เติบโตขึ้น ยกเว้นอเมริกาเหนือ หดตัวร้อยละ 4 และอินเดีย หดตัวร้อยละ 18 เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์แนวโน้มทั้งปีตลาดยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ในภาพรวมคาดเติบโตได้ร้อยละ 7 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากความก้าวหน้าในฟีเจอร์ของสมาร์ตวอตช์ ที่ผสานเทคโนโลยี เอไอ และการติดตามด้านสุขภาพรุ่นใหม่ซึ่งจะมีความแม่นยำมากขึ้น
ขณะเดียวกัน แบรนด์ต่าง ๆ ก็กำลังแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็นกลุ่มราคาต่าง ๆ ตั้งแต่อุปกรณ์ระดับเริ่มต้น ไปจนถึงสมาร์ตวอตช์รุ่นเรือธงขั้นสูง เพื่อดึงดูดผู้ซื้อที่หลากหลาย
ด้านความเคลื่อนไหวของ แอปเปิล ที่จะจัดงานใหญ่ประจำปี วันที่ 9 กันยายนนี้ มีคาดการณ์กันออกมาหลากหลายทีเดียว
ส่วน ฟอร์จูน ประเมินถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่แอปเปิลจะประกาศในครั้งนี้ ซึ่งจะรวมถึง Apple Watch Ultra 3 และ Apple Watch Series 11 ด้วย
โดย Apple Watch Series 11 คาดว่า จะเน้นปรับปรุงด้านการติดตามสุขภาพ ซึ่งอาจเปิดตัวความสามารถในการติดตามแนวโน้มความดันโลหิต
ส่วน Apple Watch Ultra 3 จะเป็นรุ่นแรกที่มีการเชื่อมต่อดาวเทียม แบบสแตนอโลน ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้สามารถใช้งานฟังก์ชัน SOS ฉุกเฉิน และส่งข้อความในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีสัญญาณมือถือ หรือ ไวไฟ ได้
นอกจากนี้ คาดว่าจะมี iPhone Air รุ่นแรก ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของงานนี้ โดย ไอโฟน 17 แอร์ คาดว่าจะเป็นไอโฟน รุ่นที่บางที่สุด เท่าที่เคยมีมา ต่อมา คือ iPhone 17 และ iPhone 17 Pro และ AirPods Pro 3 จะมาพร้อมฟีเจอร์สุขภาพ เช่น ความสามารถในการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ฟอร์จูน รายงานด้วยว่า วันที่ 9 กันยานนี้ จะถือเป็นการวางรากฐานสำหรับวิสัยทัศน์ระยะยาวของ แอปเปิล โดยคาดว่าในปี 2026 จะเป็นปีของ ไอโฟน พับได้ รุ่นแรก และปี 2027 อาจมีการเปิดตัว ไอโฟน ดีไซน์กระจกทั้งหมดเพื่อฉลองครบรอบ 20 ของไอโฟน
โดยแผนการเปลี่ยนแปลงตลอด 3 ปีนี้ จะถือเป็นกลยุทธ์ด้านฮาร์ดแวร์ที่ทะเยอทะยานที่สุดของ แอปเปิล นับตั้งแต่เปิดตัวไอโฟนรุ่นแรกในปี 2007 มีเป้าหมายเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และวางตำแหน่งของบริษัทฯ สำหรับทศวรรษถัดไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
