KGI มองบวก! BCH พ้นจุดต่ำสุด รพ.ใหม่เริ่มทำเงิน กำไรจ่อฟื้นปี 68

#ทันหุ้น - บล.เคจีไอ สแกน บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการ Q4/67 ออกมาแล้ว ฝ่ายวิจัยมั่นใจว่ากำไรของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ได้แก่ i) รัฐบาลคูเวตไม่ส่งผู้ป่วยมาใช้บริการ ii) ผลกระทบจากการที่สำนักงานประกันสังคม (SSO) ลดค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อน (RW>2) และ iii) ปัจจัยฤดูกาล
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเห็นว่า ปัจจัยลบต่างๆ ได้ถูกรับรู้ไปแล้ว อีกทั้งยังมีพัฒนการเชิงบวกของโรงพยาบาลใหม่ที่ฝ่ายวิจัยคาดว่า ทั้งสามแห่งน่าจะถึงจุดคุ้มทุนหรือเริ่มทำกำไรได้ในปี 2568 ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอีกสองสามปีข้างหน้า ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงยังคงคำแนะนำซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2568 ที่ 21.50 บาท (WACC ที่ 7.5% และ TG ที่ 3.0%) นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นของฝ่ายวิจัยในกลุ่มโรงพยาบาล
แนวโน้มเป็นบวกหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน Q4/67 หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการ Q4/67 ออกมาแล้ว เรามั่นใจว่ากำไรของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ได้แก่ i) รัฐบาลคูเวตไม่ส่งผู้ป่วยมาใช้บริการ ii) ผลกระทบจากการที่สำนักงานประกันสังคม (SSO) ลดค่าบริการรักษาโรคที่ซับซ้อน (RW>2) และ iii) ปัจจัยฤดูกาล โดยประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของ BCH มีดังนี้
i) ประเด็นการรักษาที่มีต้นทุนสูง (RW>2) ฝ่ายวิจัยคิดว่าความเสี่ยงจากการที่ SSO อาจจะลดอัตราการจ่ายค่า RW>2 จบไปแล้ว เพราะคณะกรรมการด้านการแพทย์ของ SSO มีมติให้การันตีอัตราการจ่ายที่ 12,000 บาทตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ทั้งนี้ ผลกระทบจากการลดอัตรา RW>2 ลง (จาก 12,000/RW เหลือ 8,000 บาท) กระทบกับรายได้จากกลุ่ม SSO อย่างมีนัยสำคัญถึง 245 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ออกไป รายได้จาก SSO จะเพิ่มขึ้น 7.1% YoY จากที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% YoY ในปี 2567 สำหรับแนวโน้มในปี 2568F รายได้จาก SSO ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็น RW>2 อีก และคาดว่าจะคิดเป็น 33% ของรายได้รวม
ii) ประเด็นคูเวต หลังจากที่ขอรายการราคาค่ารักษาจาก WMC มาหลายเดือน รัฐบาลคูเวตยังไม่ส่งผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการของ WMC ยกเว้นผู้ป่วยที่ชำระค่ารักษาเอง อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะกลับมาหรือไม่หลังเทศกาลรอมฎอน ฝ่ายวิจัยมองว่าหากผู้ป่วยชาวคูเวตกลับมาใช้บริการจะทำให้ประมาณการกำไรของฝ่ายวิจัยมี upside เพราะฝ่ายวิจัยไม่ได้คาดว่าจะมีรายได้จากส่วนนี้
iii) ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง BCH เปิดโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง (เกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ, เกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี และเกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันท์) ตั้งแต่ช่วงปี 2563-2564 ซึ่งคาดว่าทั้งสามแห่งน่าจะถึงจุดคุ้มทุน หรือเริ่มทำกำไรได้ในปี 2568 เพราะมีเพียงเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรีที่มีผลขาดทุนในระดับ EBITDA 29.3 ล้านบาทในปี 2567
คงประมาณการโดยคาดว่ากำไรปี 2568 จะโต 23.2% YoY และปี 2569 จะโต 19.5% YoY ฝ่ายวิจัยมองบวกกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอีกสองสามปีข้างหน้า โดยจะได้แรงหนุนจาก i) รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากทั้งผู้ป่วยที่ชำระเงินสดและผู้ป่วยประกันสังคม และ ii) ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังไม่คิดว่าจะมีปัจจัยลบ (การจ่ายค่า RW>2) มากระทบกับประมาณการของฝ่ายวิจัย ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568F เอาไว้ที่ 1.58 พันล้านบาท (+23.2% YoY) และปี 2569F ที่ 1.89 พันล้านบาท (+19.5% YoY)
ถึงแม้ว่าราคาหุ้น BCH จะเพิ่มขึ้น 16% จากที่ฝ่ายวิจัยแนะนำไว้ก่อนหน้านี้ ฝ่ายวิจัยยังคงมองบวกกับประเด็นการพลิกฟื้นของบริษัทในปี 2568F ดังนั้น ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2568 ที่ 21.50 บาท (WACC ที่ 7.5% และ TG ที่ 3.0%) นอกจากนี้ ยังเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นของฝ่ายวิจัยในกลุ่มนี้
Risks การชำระเงินของ SSO, ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองไทยรอบใหม่ และ เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่