‘เจมาร์ท’ สยายปีกรับปี'65 ผนึกพันธมิตรดันธุรกิจขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดเวลา ตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 50%
เมื่อวันที่ 5 มกราคม นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทสามารถเดินหน้าขยายการเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยทำผลงานสูงสุดตลอดเวลา (ออล ไทม์ ไฮ) ได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการผนึกกำลังในเครือ และการจับมือพันธมิตรรายใหม่ ทำให้ระบบนิเวศ (อีโคซิสเต็ม) ในด้านธุรกิจค้าปลีก (Commerce) และธุรกิจการเงิน (Finance) จะยิ่งสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
นายอดิศักดิ์กล่าวว่า ในปี 2565 วางกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจจาก Investment Holding Company เป็น Technology Investment Holding Company อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดกำไรจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% ตามเป้าหมายที่เคยวางไว้ ผ่านการขับเคลื่อนพลังร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และการเงิน ที่มีเทคโนโลยีและบล็อกเชน และบิ๊กดาต้า เป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันการเติบโต โดยแผนในปี 2565 กลุ่มเจมาร์ทจะเติบโตแบบยกกำลัง 2 จากการต่อยอดพลังการทำงานร่วมกับกลุ่มบริษัทพันธมิตร โดยเฉพาะบีทีเอสกรุ๊ป ที่คาดจะเห็นเมกะโปรเจกต์ร่วมกันมากขึ้น และเตรียมนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุน ช่วงปลายปี 2564 ต่อยอดการเติบโตให้ธุรกิจ
“ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เป็นแพลตฟอร์มทางด้านค้าปลีกและการเงิน โดยคาดจะได้เห็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นในปี 2565 อีก 2-3 ดีล โดยโปรเจกต์แรกคาดประกาศเร็วๆ นี้ จะเป็นพันธมิตรในกลุ่มอุตสาหกรรมด้านค้าปลีก และการเงินที่ต่อยอดการเติบโตของบริษัทต่อไป” นายอดิศักดิ์กล่าว
นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพภาคเอกชนรายใหญ่ของประเทศ เปิดเผยว่า ปี 2565 ภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้มีการเติบโตชัดเจน ซึ่งมองว่าสถาบันการเงินจะมีการขายหนี้ออกมาจำนวนมาก หลังลูกค้าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด จึงวางงบซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในปี 2565 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยงบลงทุนมาจากการเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุน พร้อมตั้งเป้าหมายกำไรเติบโตในระดับ 45% ทำระดับสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อ จากการซื้อหนี้เข้ามาบริหาร และการเก็บเงินสด (Cash Collection) สูงขึ้น โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดดีลร่วมลงทุนกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทลูกของกสิกรไทย ได้เตรียมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจร่วมกัน ในธุรกิจให้บริการงานติดตามหนี้ และธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการต่อยอดธุรกิจเพิ่มเติมจากธุรกิจปัจจุบันของของบริษัทผ่านการจับมือพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมในปี 2565 ออกมาอีก
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทมั่นใจจะสามารถทำผลงานระดับสูงสุดตลอดเวลาได้ต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายการเติบโตของกำไรสุทธิในระดับ 75% จากปี 2564 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จทำกำไรสูงสุด มีการขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ (Hire purchase : HP) และพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) เติบโตทะลุเป้าหมาย 10,500 ล้านบาท ทำให้ปี 2565 คาดพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 15,500 ล้านบาท ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุนการเงินที่ดี ชูจุดแข็งมีทีมขายกระจายทั่วประเทศ ตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์รวมกันแตะ 7,000 แห่ง เป็นฐานกำลังสำคัญในการบุกตลาดค้าปลีกที่แข็งแกร่งที่สุด และการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกับบีทีเอสกรุ๊ป และพันธมิตร รวมถึงไฮไลต์ของบริษัท ในปี 2565 คือ การเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อ ด้วยข้อจำกัดต้นทุนทางการเงินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการเพิ่มทุนประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ บริษัท เอสจี แคปปิตอล (SGC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทจะเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2565 ด้วย