รีเซต

โควิด-19: ตรวจสอบสถานการณ์ใน 6 ประเทศ หลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด

โควิด-19: ตรวจสอบสถานการณ์ใน 6 ประเทศ หลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด
ข่าวสด
15 กรกฎาคม 2564 ( 11:40 )
26

 

ขณะที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังเหลืออยู่เกือบทั้งหมดในวันที่ 19 ก.ค. ที่จะถึงนี้ น่าสงสัยว่าหลายประเทศที่ได้ผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวล่วงหน้าไปก่อน โดยยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัยหรืออนุญาตให้ร้านอาหาร ผับ บาร์ กลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้งนั้น ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแล้วบ้าง ?

 

 

อิสราเอล

การที่อิสราเอลแซงหน้าหลายประเทศทั่วโลกในเรื่องอัตราการฉีดวัคซีน ทำให้เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคต่าง ๆ ได้เร็วกว่าเพื่อนตั้งแต่เดือน ก.พ. เป็นต้นมา และเมื่อถึงช่วงกลางเดือนมิ.ย.ที่ประชากรรับการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้วกว่าครึ่งประเทศ ชีวิตปกติเหมือนช่วงก่อนเกิดโรคระบาดก็หวนคืนกลับมา ผู้คนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย ส่วนบรรดาร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม และโรงภาพยนตร์ ก็กลับมาเปิดให้บริการเต็มเวลาได้

แต่หลังจากนั้นตัวเลขยืนยันจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันกลับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาที่ติดต่อกันได้ง่าย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 754 ราย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (13 ก.ค.)แต่อย่างไรก็ตาม ทางการอิสราเอลยืนยันว่าจำนวนผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ยังคงมีอยู่ค่อนข้างน้อย

 

 

การที่ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งนี้ ทำให้นายกรัฐมนตรีนาฟทาลี เบนเนตต์ ของอิสราเอล ต้องคิดทบทวนเรื่องผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคอีกรอบ ซึ่งก็ทำให้ได้แนวทางใหม่ที่เรียกว่า "การควบคุมอย่างอ่อน" ซึ่งจะเรียกร้องให้ชาวอิสราเอลปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 ให้ได้ในระยะยาว

G

เนเธอร์แลนด์

เมื่ออัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มสูงขึ้นและยอดผู้ติดเชื้อลดลง เนเธอร์แลนด์จึงเริ่มใช้มาตรการผ่อนคลายและเปิดกว้างทางสังคมอีกครั้งในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา โดยยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่เกือบทุกแห่ง และสนับสนุนให้คนหนุ่มสาวออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้ง

 

 

แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยก้าวกระโดดขึ้นไปถึงระดับสูงสุดนับแต่เดือนธ.ค.ของปีที่แล้วเป็นต้นมา แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

 

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ก.ค. นายกรัฐมนตรีมาร์ก รุตเต ของเนเธอร์แลนด์จำต้องยอมเสียหน้า โดยได้ประกาศนำมาตรการควบคุมโรคหลายข้อกลับมาใช้ใหม่ หลังดำเนินการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวไปได้เพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น ทำให้บรรดาร้านอาหารต้องกลับมาปิดหลังเที่ยงคืน และผับบาร์ต้องปิดกิจการลงชั่วคราวกันอีกครั้ง

 

 

ผู้นำเนเธอร์แลนด์แถลงขออภัยต่อประชาชน และยอมรับว่าแนวทางผ่อนคลายก่อนหน้านี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ส่วนมาตรการควบคุมโรครอบใหม่นี้จะบังคับใช้ไปจนถึงวันที่13 ส.ค. เป็นอย่างน้อย

 

 

เกาหลีใต้

ก่อนหน้านี้เกาหลีใต้ได้รับการยกย่องว่าจัดการควบคุมโรคโควิด-19 ได้ผลเป็นอย่างดี โดยเป็นหนึ่งในชาติแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่ริเริ่มวางมาตรการผ่อนคลายหลังการระบาดเริ่มซาลง

 

 

เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เกาหลีใต้ประกาศแผนเตรียมให้ผู้ที่รับวัคซีนแล้วไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งจะอนุญาตให้ผู้คนรวมตัวกันกลุ่มเล็ก ๆ ได้ ส่วนร้านอาหารนั้นก็จะเปิดให้บริการได้หลายชั่วโมงมากขึ้น

 

 

แต่ทว่าผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาเตือนว่าเกาหลีใต้ "ลดการ์ด" ในการป้องกันตนเองรวดเร็วเกินไป เนื่องจากยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด ทำให้ในขณะนี้เกาหลีใต้ต้องกลับมาเผชิญการระบาดครั้งรุนแรงและเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา

 

 

G

ยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงทำลายสถิติ ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องกลับมาคุมเข้มมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนในเขตนครหลวงคือกรุงโซลนั้น ผู้คนไม่สามารถรวมตัวพบปะกันเกิน 2 คนได้ ในช่วงหลังเวลา 18.00 น.

 

 

ในท้ายที่สุด การระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาและอัตราการฉีดวัคซีนที่ชะลอตัวลงของเกาหลีใต้ ทำให้ความสามารถของประเทศในการรับมือกับโรคระบาดลดต่ำและอยู่ในภาวะชะงักงัน

 

 

สวีเดน

สวีเดนนั้นต่างจากประเทศส่วนใหญ่ของโลก เนื่องจากใช้มาตรการแบบอาศัยความสมัครใจของประชาชน ในการให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎการควบคุมโรค โดยมีเพียงมาตรการจำกัดเวลาปิดเปิดของร้านอาหาร และจำกัดจำนวนคนในการพบปะชุมนุมกันตามสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น

ในระหว่างช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สวีเดนผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ ลงอย่างมาก เช่นอนุญาตให้ผู้คนเข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนามขนาด 3,000 ที่นั่งได้ รวมทั้งยกเลิกกำหนดเวลาปิดเปิดของร้านค้าและกิจการต่าง ๆ

 

 

นับตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นต้นมา กรณีการติดเชื้อไวรัสโควิดของสวีเดนลดลงเป็นอย่างมาก เพราะมีอัตราการฉีดวัคซีนในหมู่ประชากรสูง รวมทั้งอากาศที่อบอุ่นขึ้นทำให้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งกันมากกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาในต่างประเทศ ทำให้ผู้ที่จะเดินทางเข้าสวีเดนต้องรับการตรวจหาเชื้อโควิดเสียก่อนด้วย

 

 

ออสเตรเลีย

เมื่อช่วงกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ชาวนครซิดนีย์เริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติก่อนการระบาดกันอีกครั้ง หลังไม่พบกรณีการติดเชื้อในชุมชนท้องถิ่นมานานถึงหนึ่งเดือน ในขณะที่หลายพื้นที่ของประเทศก็มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคเช่นกัน

แต่ทว่าในช่วงปลายเดือน มิ.ย. นครซิดนีย์กลับถูกล็อกดาวน์อีกครั้งเพราะการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา มีรายงานเมื่อวันพุธที่ 14 ก.ค. ว่า มาตรการล็อกดาวน์ดังกล่าวจะถูกขยายออกไปอีกสองสัปดาห์ เนื่องจากรัฐนิวเซาท์เวลส์พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบ 100 คนภายในวันเดียว บางรัฐเช่นควีนส์แลนด์, เวสเทิร์นออสเตรเลีย, และนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ก็ประกาศล็อกดาวน์เช่นกัน หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนไม่มากนัก

 

 

มาตรการควบคุมโรคบางข้อของออสเตรเลียจะถูกยกเลิกในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ แต่มาตรการบางอย่างจะยังคงอยู่ต่อไป เช่นการบังคับสวมหน้ากากอนามัย

 

 

การที่ประชากรออสเตรเลียกว่า 90% ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด ทั้งยังขาดแคลนวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์ที่คนส่วนใหญ่ต้องการ หมายความว่าชาวออสเตรเลียหลายล้านคนจะยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้

 

 

 

สหรัฐอเมริกา

เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เร่งอัตราการฉีดวัคซีนของชาวอเมริกันให้เพิ่มขึ้นอย่างสูงและรวดเร็ว ทำให้หลายรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค เช่นในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งมีประชากรมากที่สุดของประเทศได้ประกาศเปิดรัฐครั้งใหญ่ ส่วนรัฐนิวยอร์กมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคเกือบทั้งหมด หลังพลเมืองฉีดวัคซีนกันไปกว่า 70% แล้ว

 

 

ในบางรัฐที่อัตราการฉีดวัคซีนยังคงต่ำอยู่ มีความกังวลกันว่าอาจเกิดการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ จึงยังคงมีมาตรการบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยต่อไป

 

 

โดยทั่วไปแล้วกรณีการติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯ ยังคงมีน้อย คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 10 ของยอดติดเชื้อรายวันสูงสุดในช่วงการระบาดหนักเดือนมกราคม แต่ทว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของอัตราดังกล่าว โดยคนไข้อาการหนักในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตนั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน โดยไม่พุ่งสูงแบบยอดผู้ติดเชื้อ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง