หลายรัฐในออสเตรเลียเร่งปิดชายแดน สกัดคนจากซิดนีย์ หลังพบติดโควิด-19 เป็นกลุุ่ม
ซิดนีย์, 21 ธ.ค. (ซินหัว) -- หลายรัฐของออสเตรเลียสั่งปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อสกัดกั้นการเดินทางของประชาชนในนครซิดนีย์ หลังยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทางตอนเหนือของซิดนีย์เพิ่มขึ้น 15 ราย เป็น 83 ราย ในวันจันทร์ (21 ธ.ค.) ซึ่งทำให้ผู้นำแต่ละรัฐต่างกังวลว่าการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อนครั้งนี้ได้แพร่กระจายไปยังพื้นที่ใดแล้วบ้าง
รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียประกาศปิดชายแดนกับรัฐนิวเซาธ์เวลส์ซึ่งมีซิดนีย์เป็นเมืองเอกอีกครั้ง พร้อมปฏิเสธรับประชาชนที่เดินทางมาจากรัฐนิวเซาธ์เวลส์ทั้งหมดที่ไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายเข้าสู่รัฐ
ด้านรัฐวิกตอเรียและควีนส์แลนด์ประกาศปิดชายแดนกับภูมิภาคเกรตเทอร์ ซิดนีย์ โดยให้เวลาประชาชนจากพื้นที่ดังกล่าวเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนจนถึงสิ้นวันจันทร์ (21 ธ.ค.) ก่อนที่ข้อจำกัดจะเริ่มมีผลบังคับใช้
ส่วนรัฐเซาธ์ออสเตรเลียและแทสมาเนียบังคับใช้ข้อจำกัดที่เข้มงวดน้อยกว่า โดยกำหนดให้ประชาชนที่เดินทางมาจากภูมิภาคเกรตเทอร์ ซิดนีย์ กักตัวเป็นเวลา 14 วันหลังเดินทางมาถึง
ภูมิภาคนอร์ธเทิร์นบีชเชส ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของซิดนีย์และเป็นต้นตอการแพร่ระบาดแบบกลุ่มก้อนในครั้งนี้ ยังคงบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ไปจนถึงวันพุธ (23 ธ.ค.) ขณะที่เจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ประชาชนในเขตเกรตเทอร์ ซิดนีย์ ลดการเดินทาง
สถานการณ์ของนอร์ธเทิร์นบีชเชสคล้ายคลึงกับรัฐนิวเซาธ์เวลส์ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดระยะแรกเมื่อเดือนมีนาคม โดยประชาชนสามารถออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ซื้อของที่จำเป็น ให้บริการดูแลผู้อื่น หรือออกกำลังกายคนเดียวในเวลาสั้นๆเท่านั้น
เมื่อวันอาทิตย์ (20 ธ.ค.) รัฐนิวเซาธ์เวลส์ตรวจเชื้อให้ประชาชนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 38,578 ราย ขณะที่กลาดีส์ เบเรจิกเลียน มุขมนตรีของรัฐให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า อาจมีการยกระดับข้อจำกัดในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หากยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ในสัปดาห์หน้าเพิ่มขึ้น